Headlines

  • เครื่องยนต์

    การดูแลสีรถยนต์

  • เรื่องทั่วไป

    Latest Updates

    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์

    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์
    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์


    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์

    สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของรถ ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับรถเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในหลายๆ เรื่องหากล่าช้าเกินกำหนด ก็อาจทำให้ต้องเสียทั้งเงินและเวลามากขึ้น เพื่อที่จะป้องกันปัญหาดังกล่าว การรู้ว่าอะไรที่ทำหรือซื้อล่วงหน้าได้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ที่เป็นเจ้าของรถควรรู้ ซึ่งก็มีดังต่อไปนี้

    1. ประกันภัยรถยนต์

    การทำประกันภัยรถยนต์เป็นการทำประกัน ที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของรถเมื่อมีอุบัติเหตุต่างๆ ในการใช้รถใช้ถนนเกิดขึ้น เพื่อที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้น้อยลง ซึ่งการต่อประกันภัยรถยนต์ที่กำลังจะหมดอายุลงนั้น จะต้องทำในช่วงเวลาใด จะต่อก่อนที่ประกันจะหมดอายุลง 1 วันหรือจะต่อเอาไว้ล่วงหน้าซัก 6 ก็เดือน ก็มีช่วงเวลาให้เลือกตามความต้องการของผู้ทำประกัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อประกันล่วงหน้า 1 วัน 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน ซึ่งช่วงเวลาที่แตกต่างกันในการทำประกันนี้ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ผู้ทำประกันจึงต้องศึกษาดูว่าจะเลือกทำประกันนานล่วงหน้าแค่ไหนจึงจะเหมาะสมกับตนเองที่สุด

    2. พรบ.รถยนต์

    หากคุณเป็นเจ้าของรถหรือเป็นผู้ครอบครองรถ การทำ พรบ.รถยนต์คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535และแก้ไขเพิ่มเติม  ซึ่งการทำ พรบ. รถยนต์ จะให้ความคุ้มครองจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถ  ทั้งแก่ผู้ขับขี่ เจ้าของรถ และคนเดินเท้า โดย พรบ. รถยนต์จะให้ความคุ้มครองหากเกิดบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ซึ่งผู้ทำ พรบ. จะได้รับเงินชดเชยแตกต่างกันตามแต่กรณีไป

    3. การต่อภาษีรถยนต์

    การต่อภาษีรถยนต์ หรือต่อทะเบียนรถยนต์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ที่เป็นเจ้าของรถจะต้องทำทุกปี มิเช่นนั้นจะมีโทษตามกฎหมาย โดยระยะเวลาที่กำหนดไว้ในการขอต่อภาษีรถยนต์ก็คือสามารถต่อภาษีได้ล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งในปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกก็ได้ขยายช่องทางในการรับชำระภาษีรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์ ที่ www.dlte-serv.in.th (เฉพาะรถที่ไม่ต้องตรวจสอบสภาพ) ไปรษณีย์ , ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง , จุดบริการตามห้างสรรพสินค้า ,ผ่าน ตรอ. , ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส และเซเว่นอีเลฟเว่น

    4. อะไหล่รถยนต์

    รถยนต์นั้นเมื่อมีอายุการใช้งานนานขึ้น อะไหล่บางตัวก็จะหมดอายุการใช้งานลง และเพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานให้มากที่สุด การเปลี่ยนอะไหล่ใหม่เมื่อถึงระยะที่กำหนดก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ซึ่งอะไหล่รถยนต์ที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนอยู่เสมอนั้นก็มีอย่างเช่น น้ำมันเครื่อง และไส้กรองน้ำมันเครื่อง ซึ่งหากเมื่อไหร่ที่คุณพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีดำสนิท นั่นหมายความว่าน้ำมันเครื่องได้เสื่อมสภาพแล้ว คุณสามารถเปลี่ยนใหม่ได้เลยโดยที่ไม่ต้องรอให้มันถึงระยะก่อนแต่อย่างใด แบตเตอรี่ ทั้งแบบแห้งและแบบเปียก ซึ่งจะมีอายุการใช้งานอยู่ราว 2-3 ปี เป็นต้น

    5. เติมเงินใน easypass

    สำหรับการใช้รถใช้ถนนของคนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ การขึ้นทางด่วนซึ่งจะต้องชำระค่าผ่านทาง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตประจำวันเลยทีเดียว และเชื่อว่าไม่ใครก็ใครก็อาจเคยประสบปัญหาเงินหมดก่อนที่จะถึงหน้าเคาน์เตอร์กันมาแล้วไม่มากก็น้อย กลับกลายเป็นว่าแทนที่การขึ้นทางด่วนจะช่วยให้ไวขึ้นกลับต้องมาเสียเวลามากขึ้นไปอีก แต่ประสบกการณ์แย่ๆ แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ หากคุณได้เตรียมเติมเงิน Easy Pass ล่วงหน้ามาให้เรียบร้อย ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกมากมายหลายช่องทางให้คุณได้เลือกเติมเงิน Easy Pass ก่อนที่จะขึ้นทางด่วน ไม่ว่าจะเป็น เติมเงินกับ Easy Pass Online หรือ  เติมเงินผ่าน Mobile Banking / Internet Banking  เป็นต้น


    ที่มา roojai.com

    ช่วงล่างเสียงดัง เกิดจากอะไรพัง อะไรเสีย

    ช่วงล่างเสียงดัง เกิดจากอะไรพัง อะไรเสีย
    ช่วงล่างเสียงดัง เกิดจากอะไรพัง อะไรเสีย

    ช่วงล่างเสียงดัง เกิดจากอะไรพัง อะไรเสีย

    ปัญหาส่วนใหญ่ของระบบช่วงล่างที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ หลักๆ คือบรรดาลูกหมากต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลายจุดประกอบด้วย ลูกหมากปีกนก, ลูกหมากกันโคลง, ลูกหมากปลายแร็ค รวมไปถึงลูกปืนล้อ

    ลูกหมากปีกนก
    ลูกหมากปีกนก


    ลูกหมากปีกนก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีการกระแทกบ่อยๆ เช่น ขับรถตกลงหลุม หรือวิ่งผ่านทางชำรุด ขรุขระด้วยความเร็วสูง สัญญาณที่บ่งบ่องว่าชิ้นส่วนนี้เกิดการชำรุด คือ เกิดเสียงในช่วงที่ขับตกหลุม หรือถ้าหลวมมากเวลาขับที่ความเร็วต่ำถนนขรุขระก็จะรับรู้ได้ถึงเสียงที่ดังกึกๆ กุกๆ  หรืออาจมีเสียงตอนหมุนเลี้ยวขณะที่รถยังไม่ได้เคลื่อนที่ หน้ารถจะไวที่ความเร็วสูงเมื่อวิ่งผ่านพื้นถนนขรุขระ อีกทั้งยังควบคุมรถได้ยากด้วย

    ลูกหมากคันชักตัวนอก เป็นชิ้นส่วนที่ประจำการอยู่ในรถยนต์ที่ใช้ระบบพวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พิเนียน ลูกหมากปลายแร็คตัวนี้จะยึดกับดุมคอม้า อีกฝั่งหนึ่งจะยึดติดกับลูกหมากแร็คหรือไม้ตีกลอง โดยจะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมการหมุนของล้อ นอกจากช่วยดูดซับแรงกระแทกเวลาวิ่งผ่านทางขรุขระแล้ว ยังคอยดูดซับแรงสะเทือนเวลาขณะเลี้ยวด้วย ซึ่งถ้าตัวนี้มีอาการหลวมหรือชำรุด ตอนขับจะรู้สึกได้ว่าการหมุนเลี้ยวจะมีระยะมากกว่าปกติ และมีเสียงกุกๆ เวลารถวิ่งผ่านถนนขรุขระหรือตกหลุม

    ลูกหมากแร็ค
    ลูกหมากแร็ค

    ลูกหมากแร็ค อยู่ติดกับแร็คพวงมาลัย ในระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน ลูกหมากตัวนี้มีส่วนสำคัญในการถ่ายถอดแรงจากการหมุนเลี้ยวมาเป็นการเคลื่อนที่ในแนวตรง ดึงบังคับล้อให้หมุนเลี้ยว นอกจากนี้ยังทำหน้าเป็นจุดหมุน สำหรับรับภาระในการเต้นขึ้นลงของล้อ เมื่อเกิดการชำรุดหรือหลวม ตอนขับจะรู้สึกได้ว่าการหมุนเลี้ยวจะมีระยะมากกว่าปกติ ตอนขับรถผ่านถนนขรุขระหรือในยามที่ล้อมีการเต้นขึ้นลงหรือตกหลุม จะมีเสียงดังกุกๆ กักๆ และรู้สึกได้ถึงอาการขยับผิดปกติที่พวงมาลัยคนขับ

    ลูกหมากกันโคลง ทำหน้าที่เป็นตัวยึดเหล็กกันโคลง จะอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของรถ โดยทำหน้าที่รับแรงกระแทกและเป็นจุดหมุนการรับแรง แต่คุณสมบัติเฉพาะของเจ้าลูกหมากตัวนี้คือ ช่วยยึดเหล็กกันโคลงให้มีความนิ่งและคงที่มากขึ้นเนื่องจากต้องรับแรงบิดจากช่วงล่างในเวลาเข้าโค้ง สัญญาณเมื่อชำรุดจะแสดงอาการเสียงดัง เวลารถตกหลุม หรือตอนรถเอียงตัว


    ลูกปืนล้อแตก
    ลูกปืนล้อแตก

    ลูกปืนล้อแตก เกิดจากการใช้งานมานาน โดยเฉลี่ย 100,000 กม. ขึ้นไป แต่ก็ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถด้วย สาเหตุมาจาก การกระแทกรุนแรง หรือสะสม เช่น ตกหลุมแรงๆ ขึ้นลูกระนาดแรงๆโดยไม่ชะลอความเร็ว หรือไม่ชะลอความเร็วในทางขรุขระ สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกปืนเกิดการชำรุด คือ รถมีเสียงหอน เข้ามาในห้องผู้โดยสาร ลักษณะเสียงจะ อื้อๆ วู้ๆ ยิ่งขับเร็วก็ยิ่งเสียงดัง

    เสียงดังต่างๆ จากระบบช่วงล่าง ซึ่งสร้างความรำคาญและความไม่ปลอดภัยจากการขับใช้งานยังมีอีกหลายสาเหตุ และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง


    วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ


     วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ
     วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ

    วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ

    สำหรับผู้ใช้รถยนต์ที่รถที่ใช้อยู่มีอายุหรือระยะทางเกินกว่าที่บริษัทรถยนต์รับประกัน ก็อาจเลือกที่จะมองหาอู่ซ่อมรถยนต์ข้างนอกมากกว่าที่จะเข้าศูนย์ซ่อม ซึ่งการได้ช่าง หรืออู่ซ่อมรถยนต์คู่ใจนับว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อมีปัญหาเราสามารถพุ่งตรงไปที่ช่างหรืออู่นั้นๆ ได้แบบไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่จะมีวิธีในการหาอู่ซ่อมที่ดีแบบนั้นได้อย่างไร เรามีวิธีมาบอกกันดังต่อไปนี้

    1. ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์กันหน่อย

    อินเทอร์เน็ตเป็นอีกแหล่งหนึ่งสำหรับการค้นหาข้อมูลที่ต้องการรวมทั้งการเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันอู่ซ่อมรถยนต์จำนวนมากต่างก็มีเว็บไซต์เปิดบริการให้ลูกค้าได้เข้าไปศึกษาข้อมูล ดำเนินการติดต่อกับทางอู่เพื่อนำรถเข้าอู่ซ่อมต่อไป

    นอกจากนี้แล้วก็ยังมีการรีวิวจากผู้ที่ได้เคยเข้าใช้บริการอู่ต่าง ๆ มาแล้วมาให้ได้ศึกษากันว่าแต่ละอู่นั้นมีบริการเป็นอย่างไร ได้มาตรฐานหรือไม่ มีฝีมือมากน้อยแค่ไหนคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียไปหรือเปล่า รวมถึงยังมีเว็บคลับเกี่ยวกับรถยนต์เฉพาะรุ่น ซึ่งคนในกลุ่มจะมาสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งถ้าหากเป็นรถรุ่นเดียวกับที่เราใช้อยู่เราก็อาจจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับการซ่อมจากเพื่อนในคลับก็ได้ เพราะคนเหล่านี้จะมีความเข้าใจอาการของรถรุ่นที่เราใช้อยู่ และมีความรู้เรื่องอู่เฉพาะทางที่มีความสามารที่เปิดรับซ่อมรถยนต์รุ่นนั้น ๆ


    ไปลองชิมลางดูก่อน
    ไปลองชิมลางดูก่อน

    2. ไปลองชิมลางดูก่อน

    บางทีการฟังคนนี้พูดคนนั้นพูดก็ไม่เท่ากับการที่เราประสบด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นเมื่อฟังใครแนะนำถึงใครจะว่าดีอย่างไร เราก็ควรทดลองใช้บริการเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเปลี่ยนผ้าเบรคหรือเปลี่ยนกระจกมองข้าง เพื่อดูว่าจะดีอย่างที่เราต้องการหรือไม่ เพราะดีของเรากับดีของเขาอาจไม่เหมือนกันก็ได้ คือเมื่อนำรถไปทดลองใช้บริการก็ให้ดูว่าช่างให้คำแนะนำกับเราอย่างไร เราฟังแล้วรู้สึกสงสัยอะไรหรือไม่ ช่างตอบคำถามเราได้อย่างชัดเจนเป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า พูดจาดีไหม หรือว่าเอาแต่เชียร์ให้เปลี่ยนอะไหล่ใหม่อย่างไม่มีเหตุผลสมควรหรือเปล่า ค่าซ่อมค่าบริการเป็นอย่างไรสมเหตุสมผลไหม รวมทั้งในเรื่องของการดูแลรถลูกค้า การใส่ใจในความสะอาดของตัวรถเพราะช่างบางคนอาจขาดความระมัดระวังในเรื่องของความสะอาด มือที่เปรอะเปื้อนกับเสื้อผ้าที่ไปคลุกอะไรต่ออะไรมาอาจทำให้เบาะผ้าของเรา ต้องเลอะเทอะจนพูดไม่ออกเลยก็เป็นได้

    เน้นสะดวกใกล้บ้านไว้ก็ดี
    เน้นสะดวกใกล้บ้านไว้ก็ดี

    3. เน้นสะดวกใกล้บ้านไว้ก็ดี

    มีอู่ซ่อมรถยนต์เปิดให้บริการมากมากหลายแห่ง ซึ่งหากพื้นที่ใกล้เคียงหรือไม่ไกลจากบ้านเรามีอู่เปิดบริการรับซ่อมรถรุ่นที่เราใช้อยู่ ก็ควรจะพิจารณาเลือกใช้บริการจากอู่ที่อยู่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงก่อน เพื่อที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทาง เพื่อที่เราจะสามารถไปดูความคืบหน้าในการซ่อมได้โดยง่าย หรือหากช่างต้องการที่จะพูดคุยเนื่องจากมีการซ่อมเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่เราก็จะสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางนัก

    4. ลองถามๆ จากคนรู้จัก

    คนใกล้ตัวหรือคนรู้จักก็เป็นแหล่งข้อมูลที่จะให้คำแนะนำแก่เราได้ เมื่อเราต้องการที่จะใช้บริการอู่ซ่อมข้างนอก แต่ก็ยังมีความกังวลในเรื่องต่าง ๆ จนตัดสินใจไม่ถูกหรือไม่รู้ว่าจะเอารถไปซ่อมกับอู่ไหนดี ลองถามคนใกล้ตัวอย่างเช่นเพื่อนบ้านดูว่า เขารู้จักอู่ซ่อมรถที่อยู่ใกล้ ๆ ที่ไหนบ้างที่มีช่างเก่ง ๆ ฝีมือดี บริการดี คิดค่าซ่อมไม่แพงจนเกินไป หรือถ้าเขาเคยไปใช้บริการมาแล้วเราอาจปรึกษาเขาได้เลยว่ารถเราเสียตรงจุดไหน ยังไง ซ่อมแล้วดีไหม ช่างคิดค่าบริการประมาณเท่าไหร่ เป็นต้น

    ที่มา roojai.com

    สาเหตุไฟเตือนระบบเครื่องยนต์โชว์

    สาเหตุไฟเตือนระบบเครื่องยนต์โชว์
    สาเหตุไฟเตือนระบบเครื่องยนต์โชว์


    สาเหตุไฟเตือนระบบเครื่องยนต์โชว์

    เชื่อว่าหลายคนที่ใช้รถอยู่เป็นประจำ อาจเคยสังเกตเห็นไฟรูปเครื่องยนต์ขึ้นโชว์บนหน้าปัดหรือเรือนไมล์ เวลาที่เสียบกุญแจแล้วบิดสวิตช์ไปตำแหน่ง ON และเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วไฟ Check Engine ก็จะหายไป ซึ่งการเกิดรูปแบบลักษณะดังกล่าวนี้ถือว่าการทำงานของระบบต่างๆ นั้นปกติ

    แต่ในทางกลับกันเมื่อสตาร์ทแล้วและเครื่องยนต์ติดอยู่ แต่ไฟ Check Engine ไม่ได้ดับลง นั่นแสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น (Fault) ซึ่งไฟ Check Engine จะขึ้นเพื่อเตือนให้เรานำรถเข้าตรวจเช็ค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เกิดปัญหาใหญ่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรือตกใจจนต้องโทรตามช่างหรือเรียกรถสไลด์ด่วนในทันทีทันใด แต่ขึ้นเพื่อให้เรานำรถเข้ารับการตรวจเช็คโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบางทีหากเราไม่สนใจทำอะไรเลยก็อาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายหนักๆ ได้ตามมาภายหลัง

    การที่ไฟ Check Engine ขึ้นโชว์เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่หลักๆ มาจาก 4 ปัจจัยซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของเครื่องยนต์ คือ ระบบการฉีดน้ำมัน (Injection System) ประกอบด้วยระบบจ่ายน้ำมันและระบบหัวฉีด, ระบบจุดระเบิด (Ignition System) ซึ่งประกอบด้วย คอยล์ หัวเทียน และ Sensors ต่างๆ ถ้าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ระบบจุดระเบิดจะแตกต่างกับเครื่องเบนซิน, ระบบอัดอากาศและระบบ Vacuum ซึ่งประกอบด้วยท่ออากาศและท่อ Vacuum (สูญญากาศ) ต่างๆ และระบบควบคุมไอเสีย (Exhaust Emission System) 


    ซึ่งประกอบด้วยระบบ EGR (Exhaust Gas Recirculation System) และ Sensors วัดปริมาณไอเสียหรือ ที่เรียกว่า Oxygen Sensor นอกจากสาเหตุหลักที่กล่าวมาข้างต้น สาเหตุอื่นๆ ที่หลายคนคาดไม่ถึง ซึ่งเราได้หยิบยกมาเป็นข้อมูลให้ผู้อ่านได้ทราบในครั้งนี้ด้วย ก็คือสิ่งผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากการเสียของอุปกรณ์ใดๆ เช่น เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ มักพบบ่อยมากในกรณีเติมน้ำมันไม่ได้ค่า Octane ตามที่เครื่องยนต์ต้องการ หรือในรถรุ่นใหม่ๆ จะมีความไวต่อการตรวจสอบอย่างยิ่ง แค่ปิดฝาถังน้ำมันไม่สนิท ไฟ Check Engine ก็ขึ้นโชว์ได้เช่นกัน กรณีเหล่านี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อลบไฟ Check Engine นี้ได้ หรือบางครั้งไฟก็ดับไปเอง

    บางกรณีหากคุณพอมีความรู้ด้านฝีมือช่างหรือสนใจในการปรับแต่งอยู่บ้าง ก็สามารถแก้ไขปัญหา Check Engine ได้ด้วยตัวเอง หากว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากการชำรุดเสียจากเครื่องยนต์แบบหนักหน่วงหรือจำเป็นต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ โดยเบื้องต้นตามคู่มือตรวจเช็คประจำวัน ดูระดับน้ำมันของเหลวต่างๆ เช็คดูว่ามีร่องรอยรั่วไหลให้เห็นชัดเจนหรือไม่ รวมทั้งดูการทำงานของพัดลม หรือสายพานมีเสียงดังผิดไปจากปกติหรือเปล่า ถ้าไม่มีให้ลองถอดขั้วลบแบตเตอรี่ออกสัก 10-15 วินาที แล้วค่อยต่อเข้าไปใหม่ 


    บางทีอาจไม่เป็นอะไรเลยก็ได้ หรือหากถึงขั้นแอดว้านซ์หน่อย เพียงคุณนำอุปกรณ์ที่เรียกว่า OBD II  มาเสียบต่อกับพอร์ทของรถ (ส่วนใหญ่อยู่ใต้คอพวงมาลัย) จากนั้นเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนซึ่งมี App รองรับ เพื่อดูข้อมูลรหัสความผิดที่ ECU รถยนต์ได้ตรวจพบและบันทึกเก็บไว้ โดยเราจะสามารถนำค่านี้ไปค้นหาความผิดพลาดต่างๆ ของเครื่องยนต์ได้ เช่น อาจพบว่ามีสายไฟบางตัวขาด หรือฟิวส์ขาด ซึ่งในจุดนี้เราก็สามารถทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเองได้ นอกจากนี้ OBD II ยังลบ Code ที่ Error ช่วยให้ไฟ Check Engine ดับลงได้อีกด้วย

    ที่มา roojai.com

    ไฟหน้ารถยนต์มีกี่แบบ

    ไฟหน้ารถยนต์มีกี่แบบ
    ไฟหน้ารถยนต์มีกี่แบบ


    ไฟหน้ารถยนต์มีกี่แบบ

    ไฟหน้า อุปกรณ์ส่องสว่างให้กับรถยนต์ในทุกเส้นทาง ที่นอกจากจะช่วยเรื่องความปลอดภัยเวลากลางค่ำกลางคืนแล้ว รูปทรงของไฟหน้ายังเปรียบเสมือนกับหน้าตา ความสวยงามมีผลต่อดีไซน์ของรถอีกด้วย วันนี้เราจะพาไปดูกันว่า รถรุ่นใหม่ที่วิ่งๆ กันตามท้องถนนในตอนนี้ ใช้โคมไฟประเภทไหนบ้าง มีกี่แบบและทำงานอย่างไร

    โคมไฟหน้า
    โคมไฟหน้า

    ในรถบางรุ่น ภายในโคมไฟหน้าข้างหนึ่งของรถอาจประกอบด้วยไฟที่มากกว่าหนึ่งประเภท ที่พร้อมทำงานกับไฟกลางวัน Daytime Running และระบบต่างๆ ที่ช่วยในการขับขี่ทั้งการปรับองศาโคมไฟหน้าตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัย Active Light system, ระบบเพิ่มกำลังส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering light หรือยิ่งถ้ารถเป็นรุ่นที่เน้นในเรื่องเทคโนโลยี ความอัฉริยะจะมีเซ็นเซอร์หรืออินฟาเรดเข้ามาช่วยประมวลผลให้การทำงานของไฟหน้า

    เราไปดูกันดีกว่าว่ารถในปัจจุบันใช้โคมไฟหน้าประเภทใดบ้าง

    ประเภทไฟหน้าที่มีใช้งานอยู่มากในรถรุ่นที่ขายอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน แทบจะกลายเป็นพื้นฐานของรถสมัยนี้ไปแล้วกับ ไฟหน้า Multi Reflector โคมไฟฝาครอบใสสามารถมองเห็นภายในโคมได้ชัดเจน เมื่อมองเข้าไปจะเห็นหลอดไฟและจานสะท้อนแสง บางรุ่นมีการนำหมวกบังหลอดเพื่อช่วยสำหรับในการรวมแสงที่ดีกว่า ใช้หลักการสะท้อนมาช่วยให้ลำแสงพุ่งตรงไฟข้างหน้า แต่ไฟประเภทนี้จะมีแสงกระจายออกที่ด้านข้างอยู่

    ความต้องการของผู้ใช้รถที่ต้องการให้ไฟหน้าสว่างมองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน ไฟประเภทนี้สามารถนำไปเปลี่ยนหลอดที่เพิ่มกำลังวัตต์ให้สว่างขึ้นได้ บางคนไปเปลี่ยนเป็นหลอด Xenon ที่สว่างแต่กระจายแสงออกด้านข้างมากเกินไป ไม่เป็นไปตามาตรฐานที่โรงงานผู้ผลิตรถกำหนดมา แสงที่ส่องกระจายออกด้านข้างจนกลายเป็นปัญหาไฟหน้าแยงตารถคันที่ขับสวนมา 
     

    โคมเป็นฝาครอบใสมองเห็นภายในเป็นเหมือนลูกแก้ววงกลมใหญ่ๆ เลนส์นูน โคมไฟที่ใช้หลักในการรวมแสงของเลนส์ มาจากหลักการทำงานของเลนส์กล้องส่องทางไกลมารวมแสงที่ออกจากหลอด เพราะหลอดไฟทั่วไปจะให้แสงออกมารอบด้านอย่างไฟ Multi Reflector จึงต้องมีอะไรมาช่วยในการบังคับแสงให้ส่องไปในทิศทางเดียวกันอย่างโคมฉายแสงในรถยนต์ทั่วไป แต่ตัวโคมทั่วไปไม่สามารถบังคับแสงดีพอทำให้ลำแสงพุ่งตรงไม่ออกด้านข้าง ไฟแบบ Projector สามารถรวมแสงให้ส่องไปในทิศทางเดียวกันได้ดีกว่า ส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับหลอดไฟ Xenon เพราะว่าหลอดไฟ Xenon มีการกระจายแสงสูงกว่าหลอดไส้ทั่วไปไฟ Projector ก็สามารถรวมแสงของเอาไว้ได้อยู่หมัด

    โดยไฟ Projector จะมีอยู่ 2 ประเภทดังต่อไปนี้

    Single Xenon Projector

    Single Xenon Projector
    Single Xenon Projector
    คือไฟ Projector ทำงานร่วมกับไฟ Xenon จะมีแต่ไฟต่ำเท่านั้นซึ่งจะทำงานร่วมกับไฟสูงที่เป็นหลอด Halogen อีกชุดออยู่ภายใต้โคมไฟเดียวกัน

    Bi-Xenon

    ไฟ Projector ที่ภายในโคมมีทั้งไฟสูงและไฟต่ำ โดยใช้ ‘Shutter’ มาช่วยทำหน้าที่เปิดและปิดให้เป็นไฟสูงและต่ำ ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ยังทำงานบนพื้นฐานของไฟ Xenon ตามปกติ แต่จะใช้หลักของการสะท้อนแสงคอยปรับการทำงานให้เป็นทั้งไฟสูงค้างไว้ มีอุปกรณ์ภายในโคมทำหน้าที่เหมือนเป็น ‘Shutter’ คอยสับควบคุมการกระจายของแสงไฟซีนอนโดย Shutter จะขยับตัวขึ้น-ลงเป็นตัวควบคุมว่าจะให้แสงที่ออกมาเป็นไฟต่ำหรือไฟสูงตามที่ผู้ใช้รถต้องการ

    ไฟแบบ LED

    จะคล้ายกับไฟ Projector แต่ไม่มีเลนส์นูนลูกแก้วใหญ่อยู่ในโคม ถูกสร้างโดยใช้หลักในการสะท้อนคล้ายกับไฟ Multi Reflector แต่สามารถผลิตแสงออกมาได้รูปทรงที่หลากหลายมากกว่าให้เข้ากับดีไซน์ของตัวรถที่ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่มักจะมีหลายๆ ดวงเรียงกัน เห็นได้บ่อยมากจากไฟท้ายรถรุ่นใหม่ๆ ที่นิยมใช้ไฟ LED เข้ามาเพื่อช่วยในความสวยงาม แต่ความสว่างในการใช้งานก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเดิมแม้แต่น้อย ใช้หลอด LED จะให้ความสว่างที่มากกว่าหลอดฮาโลเจนเทียบเท่ากับหลอด Xenon แต่ให้ลำแสงที่พุ่งตรง ไม่กระจายแสบตา เมื่อมาวางเรียงกันจะให้เส้นสายของไฟที่คมชัด ที่สำคัญประหยัดไฟแต่ข้อเสียก็มีคือราคาค่อนข้างสูงจากจำนวนหลอดไฟที่ใช้มากกว่าหลอดประเภทอื่นๆ

    ไฟหรือโคมไฟของรถหลายประเภทต่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จากนี้ถ้าคุณได้อ่านโบรชัวร์ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถคันใหม่สักคัน ก็จะสามารถเปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสียของโคมไฟในรถแต่ละรุ่นได้แล้ว ต่อไปในอนาคตก็ยังมีไฟประเภทใหม่ๆ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไม่หยุดการพัฒนา สว่างขึ้น ดีขึ้น จ่อคิวเข้ามาประจำการอยู่บนรถที่ขายทั่วในท้องตลาดอย่างเช่นไฟ Laser High Beams ซึ่งถูกใช้แล้วในรถ Audi R8 หรือ BMW Series-7 740Li

    อย่างไรก็ตามถ้าคุณมีความรู้สึกว่าโคมไฟหน้าสว่างไม่พอ คิดจะเปลี่ยนหลอดให้ความสว่างมากขึ้น สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือไม่ควรทำให้ไฟหน้าของรถคุณสว่างมากเกินไป เข้าใจว่ามันดีกับผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน แต่มันทำให้รถที่ขับสวนมาหรือรถคันที่คุณขับไปจอดต่อท้ายเดือดร้อนเพราะไฟหน้ารถคุณไปแยงตาหรือสะท้อนกระจกมองหลัง ใช้รถใช้ถนนควรยึดหลักว่า ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถ้าคิดจะเปลี่ยนหลอดไฟเพิ่มความสว่างก็เลือกที่ความสว่างที่พอดี ไม่มากเกินไป

    ที่มา chobrod.com


    การดูแลรักษายางรถยนต์

    การดูแลรักษายางรถยนต์
    การดูแลรักษายางรถยนต์

     

    การดูแลรักษายางรถยนต์

    ด้วยการหมั่นดูแลรักษายางรถยนต์ของท่านเป็นประจำ ยางของท่านจะใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ ยางจะค่อยๆสึกหรอ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะพิจารณาได้ว่าจุดใดเป็นจุดที่สมรรถนะของยางเสื่อมที่จะทำให้ท่านเกิดความกังวลใจ ถ้าหากรถของท่านไม่เลี้ยวหรือวิ่งบนถนนที่เปียกไม่ดีดังเช่นที่เคยเป็นเหมือนเมื่อก่อน หรือกว่าจะเบรกต้องใช้เวลานาน หรือมีการสั่นสะเทือนมาก ท่านอาจจะต้องแก้ไขโดยการสับยาง ถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์ หรืออาจถึงเวลาที่ท่านจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ก็ได้

    คำแนะนำเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับการบำรุงรักษายางที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
    และเมื่อใดควรจะถึงเวลาที่จะต้องส่งยางรถยนต์ หรือไปที่ศูนย์บริการเพื่อบำรุงรักษา


    การรักษาระดับความดันลมยางอย่างถูกต้อง

    จงทำให้เกิดเป็นนิสัยประจำในการตรวจสอบความดันลมยาง (ทุกๆ 2-4 สัปดาห์) เนื่องจากยางที่สูบลมโดยมีความดันลมยางที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และทำให้อายุการใช้งานยางรถยนต์ยาวนานกว่าปกติ

    หมั่นตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำ

    แม้ว่าโดยเงื่อนไขแห่งหลักการ ยางรถยนต์จะเสียความดันในอัตราประมาณ 0.69 บาร์ (Bar) หรือ 1 อนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) ต่อเดือน แต่อัตราดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ขอให้ท่านหมั่นตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของท่านอย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้งและดูดอกยางโดยละเอียดถี่ถ้วนเมื่อท่านตรวจสอบยาง ท่านจะเห็นคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความดันลมยางในคู่มือรถยนต์ของท่านหรือแก้มของยาง

    คลิกชื้อเลย

    ควรทำอย่างไรในการตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของท่าน

    ซื้อเกจวัดความดันยางหรือใช้เกจวัดความดันยางที่จุดบริการใกล้บ้านท่านก่อนอื่น ในตอนเช้าหรือเมื่อยางรถยนต์ของท่านเย็น จงตรวจสอบยาง เพราะขณะขับขี่รถยนต์ยางจะร้อนซึ่งจะทำให้การตรวจสอบลมยางไม่เที่ยงตรงคลายวาล์วหัวสูบลม(valve) และเสียบเกจวัดบนวาล์วสูบยาง ถ้ามีเสียงฟู่สั้นๆถือว่ายางปกติอ่านเกจวัดความดันลมยางแล้วนำมาเปรียบเทียบกับความดันลมยางรถยนต์ของท่านที่เป็น bar หรือ psi ซึ่งได้รับการแนะนำให้ใช้ แต่จงใช้ bar ก่อนปรับความดันลมยางรถยนต์ของท่านด้วยอุปกรณ์อัดลมประจำบ้านหรือสูบยางที่อู่รถใกล้บ้านท่านตรวจสอบความดันลมยางของท่านอีกครั้งด้วยเกจวัดและเปรียบเทียบกับข้อกำหนดเฉพาะของผู้ผลิตปิดฝาวาล์วสูบยาง แต่ละล้อจงมั่นใจว่ายางแต่ละเส้นได้รับการตรวจสอบ ถ้าความดันลมยางต่ำเกินไปนั่นหมายว่าถึงเวลาที่ท่านจะต้องให้อู่ที่ท่านใช้บริการตรวจสอบได้แล้วยางรถยนต์ของท่านอาจมีลมซึมออกช้าๆโดยมีสาเหตุเนื่องมาจากขนาดของขอบยางไม่ถูกต้องหรือลิ้นท่อยางผิดขนาด

    การสลับยางรถยนต์ของท่าน

    จงมั่นใจว่ายางรถยนต์ของท่านสึกเสมอกันทุกล้อ โดยการสลับยางทุกๆ 10,000 ถึง 12,000 กม. หรือทุกหกเดือนการสลับยางจะทำให้ยางรถยนต์ของท่านทั้งชุดสึกหรอเท่ากันถึงแม้ว่าการสลับยางจะช่วยยืดอายุยางของท่านและเกิดการบังคับและแรงฉุดที่สมดุลได้แต่การสลับยางยังสามารถช่วยท่านได้ในการบังคับโดยง่ายดายและสะดวกสบายขึ้นน่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้าจะมีการสลับยางทุกๆครั้งของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง

    ทำไมท่านจึงควรสลับยาง โดยปกติ ยางล้อหน้ารถยนต์ของท่านจะสึกเร็วกว่ายางล้อหลัง ถ้าหากท่านสลับตำแหน่งยางบ่อยๆ จะช่วยให้ยางสึกเท่ากันและดอกยางจะมีอายุการใช้งานนานที่สุด สิ่งที่ควรจดจำที่คุ้มค่ามากคือการสลับยางไม่สามารถแก้ปัญหาการสึกหรอของยางได้ถ้าหากความดันลมยางไม่ถูกต้อง



    การดูแลรักษายางรถยนต์
    การดูแลรักษายางรถยนต์


    บ่อยครั้งเพียงใดที่ต้องสลับยาง

    เป็นความคิดที่ดีถ้าหากท่านจะสลับยางรถยนต์ของท่านทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง (หรือคร่าวๆประมาณ 10,000 ถึง 12,000 กม.) ถ้าหากท่านขับรถเร็ว บรรทุกของหนัก หรือวิ่งรถระยะทางไกลๆ ท่านอาจจะต้องสลับยางบ่อยๆเป็นพิเศษ ท่านควรสลับยางให้เร็วที่สุดที่สามารถทำได้เมื่อสังเกตเห็นว่ายางสึกไม่เท่ากัน ถ้ายางปล่อยเสียงดังหึ่งๆขณะขับขี่รถบนถนนเรียบ นั่นอาจหมายถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องสลับยาง

    หมั่นตรวจสอบดอกยางรถยนต์ของท่าน

    สภาพดอกยางรถยนต์ของท่านเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งของความสมบูรณ์ของสภาพรถยนต์ การตรวจสอบยางทั้งสี่ล้อเป็นประจำจะช่วยให้ท่านสามารถวินิจฉัยปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ซึ่งท่านอาจจะต้องใช้บริการมืออาชีพช่วย จงตรวจสอบยางของท่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง และก่อนหรือหลังการเดินทางที่ยาวนาน

    การเปลี่ยนยาง

    การตรวจและบำรุงรักษายางเป็นประจำจะช่วยยืดอายุยางได้ แต่ยางทั้งหมดก็ต้องสึกหรอไปตามกาลเวลาอายุของยางจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยการขับขี่รถของท่าน ภูมิอากาศของสถานที่ที่ท่านพักอาศัยอยู่และการบำรุงรักษายางของท่านดีเพียงใด ยางทั้งหมดย่อมมีการสึกและเสียหายและต้องเปลี่ยนในท้ายที่สุด

    ดอกยางสึก ถึงแม้ว่าท่านจะบำรุงรักษายางรถยนต์ของท่านอย่างดีที่สุด เมื่อถึงกาลเวลาดอกยางก็จะสึก
    ยางส่วนใหญ่จะมีแท่งบอกการสึกของดอกยาง แท่งเหล่านี้ซึ่งเป็นยางแข็งจะปรากฏให้เห็นบนยางเมื่อความลึกของดอกยางอันตรธานไปเกินกว่าขีดจำกัดที่จะขับขี่รถได้อย่างปลอดภัย ซึ่งโดยทั่วจะอยู่ที่ 1.6 มม. ท่านควรตรวจสอบดอกยางที่สึกไม่เท่ากันด้วยที่อาจสามารถบ่งชี้ปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับยางและรถยนต์ของท่านได้ รอยแตกที่มองเห็นได้ จงตรวจสอบแก้มของยางและดอกยางที่อาจมีรอยแตก ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่ามีรอยแตกเล็กๆในแก้มของยางที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “รอยเส้นแตกร่างแห (Crazing)”
    นั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องเปลี่ยนยาง แก้มของยางจะไม่หนามากและรอยแตกบนแก้มยางจะเป็นสาเหตุให้ท่านไม่สามารถใช้ยางต่อไปอีกได้ ท่านควรตรวจสอบดอกยาง ไหล่ยาง แก้มยางด้วยว่ามีฟองอากาศ ตุ่มพอง รอยตัด หรือรอยแตกหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกท่านทั้งสิ้นว่าท่านจะต้องเปลี่ยนยางใหม่แม้ว่ายางจะยังคงไม่สึกจากการใช้งานก็ตาม เมื่อซื้อยางใหม่เพื่อเปลี่ยนถือว่าเป็นความคิดที่ดีถ้าหากท่านจะเปลี่ยนทั้งสี่ล้อพร้อมกัน แต่ถ้าหากท่านซื้อเพียงสองเส้น จงมั่นใจว่ายางทั้งสองเส้นนั้นใช้เข้ากันได้กับยางที่สึกแล้วเป็นบางส่วน และนำไปเปลี่ยนเป็นยางล้อหลังซึ่งจะทำให้เกิดแรงฉุดและรถมีเสถียรภาพดีกว่าขณะที่ท่านขับขี่


    คลิกชื้อเลย


    ได้เวลาเปลี่ยนผ้าเบรคแล้ว

    ได้เวลาเปลี่ยนผ้าเบรคแล้ว
    ได้เวลาเปลี่ยนผ้าเบรคแล้ว


    ได้เวลาเปลี่ยนผ้าเบรคแล้ว

    อายุการใช้งานของผ้าเบรกนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่างมากเช่น อุปนิสัยในการขับขี่รถยนต์ ชนิดหรือคุณภาพของผ้าเบรก น้ำหนักรถ สภาพการจราจร

    รถแท็กซี่ ซึ่งต้องขับวนรอบเมืองทั้งวันและทุกวันต้องแตะเบรกและหยุดรถเสมอ อาจต้องเปลี่ยนผ้าเบรกถึงปีละ 2 ครั้ง ในขณะที่รถยนต์ซึ่งใช้ภายในครอบครัวหรือขับระยะทางไกลเพื่อท่องเที่ยวเป็น ครั้งคราว จะสามารถใช้ผ้าเบรกได้นานกว่า

    ในบางครั้งเราก็สามารถตรวจเช็คความหนาของผ้า เบรกได้จากความรู้สึกในการเหยียบเบรก เช่น อาจจะรู้สึกว่าคันเหยียบเบรกต่ำกว่าปกติ แต่ไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันในกระปุกน้ำมันเบรกอาจเป็นไปได้ว่าผ้าเบรกบางลง มาก ทำให้แม่ปั๊มที่คาลิเปอร์เบรกต้องยืดตัวออกมามากระดับของน้ำมันเบรกในกระปุก น้ำมันเบรกเลยยุบตัวลงมาด้วย

    ในรถรุ่นใหม่ๆบางรุ่นจะมีระบบไฟเตือนเบรก (Wear Indicator) อยู่บนแผงหน้าปัทม์ ถ้าไฟเตือนนี้ติดโชว์แสดงว่ามีปัญหากับระบบเบรก อาจเป็นที่น้ำมันเบรกมี น้อยกว่าระดับที่เหมาะสมหรือผ้าเบรกสึกเหลือบางกว่าที่ควร สำหรับรถบางประเภทเช่นรถกระบะ จะนิยมเตือนด้วยเสียงแทน เป็นเสียงที่เกิด ขึ้นจากตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสเบรกขูดไปบนขอบของจานเบรกเป็นการเตือน ว่าผ้าเบรกมีความหนาน้อยกว่า 3 มม. 

    ส่วนรถรุ่นเก่าๆบางรุ่นที่ไม่มีสัญญาณเตือนอะไรเลย ถ้าเกิดเสียงดังตอนเบรกขึ้นมาหมายความว่าผ้าเบรกสึกหมดจนถึงแผ่นเหล็กซะ แล้ว ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับจานดิสเบรกได้ พวกรถประเภทนี้เจ้าของจะต้องขยันถอดล้อออกมาตรวจความหนาของผ้าเบรกบ่อยๆ หรือใช้การคาดเดาจากระยะเวลาที่เคยใช้กับผ้าเบรกชุดก่อน

     
    Copyright © PEEICE. Designed by OddThemes