Headlines

  • แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องยนต์ แสดงบทความทั้งหมด
    แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องยนต์ แสดงบทความทั้งหมด

    5 ข้อ ดูแลเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง

    5 เทคนิคต้องรู้ ดูแลเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง
    5 ข้อ ดูแลเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง

    5 ข้อ ดูแลเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง

    มีเรื่องราวดี ๆ มาเสนอคุณเจ้าของรถยนต์เช่นเคยครับ สำหรับคุณเจ้าของรถที่เพิ่งจะถอยรถสุดรักออกมาใหม่ สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือการต่อประกันชั้น1 ทั้งเพื่อการได้รับความคุ้มครองและเพื่อเป็นการดูแลรถสุดรักของเรา และคุณเจ้าของรถรู้หรือไม่ว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยในการดูแลและปกป้องรถของคุณได้ ซึ่งนั่นก็คือการดูแลรักษาเครื่องยนต์ในเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเหมือนกับการต่อประกันชั้น1 แล้วมีเทคนิคอะไรบ้าง ไปดูกันครับ

    1. ตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่อง เมื่อเครื่องยนต์ทำงานก็ต้องเกิดความร้อนขึ้น ระบบหล่อเย็นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์อยู่ในระดับที่พอดี ซึ่งต้องใช้น้ำในระบบหล่อเย็นเป็นตัวช่วยในการทำงาน เราสามารถตรวจดูได้ในขณะที่เครื่องเย็น ถ้าน้ำอยู่ในระดับต่ำก็ให้เติมให้พอดีกับระดับที่กำหนดไว้ และสำหรับน้ำมันเครื่องที่มีหน้าที่ช่วยในการป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์นั้นเราสามารถตรวจเช็คได้โดยการดูที่ก้านตรวจ แต่ถ้าจะให้ดีควรทำการเข้าศูนย์ที่รับเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเป็นประจำ ซึ่งคุณสามารถหาศูนย์บริการที่ไว้ใจได้จากการสอบถามบริษัทประกันที่คุณต่อประกันชั้น1 เอาไว้ได้ครับ

    2. ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่และระดับน้ำมันเบรก ควรดูให้อยู่ในตำแหน่งที่กำหนดให้และขอย้ำว่าอย่าเติมเกินกว่าจุดที่กำหนดอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของแบตเตอรี่ลดลงและอาจเป็นสาเหตุของการรั่วไหลของกรดภายในที่จะไปทำลายระบบต่าง ๆ ในห้องเครื่องยนต์ได้ และควรหมั่นตรวจสอบให้ดีว่าขั้วบวกลบที่ต่อกับแบตเตอรี่และฐานยึดนั้นมีความแน่นหนาดี ต่อมาคือการตรวจสอบน้ำมันเบรกที่สามารถตรวจดูได้ด้วยการสังเกตดูที่กระปุกน้ำมันเบรกว่าอยู่ในระดับที่เท่าไรถ้าน้อยเกินไปก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อเติมน้ำมันเบรกและเช็คดูว่ามีรูรั่วหรือไม่

    3. การดูระดับน้ำมันคลัทช์และน้ำมันเกียร์ออโต้ ในส่วนของระดับน้ำมันคลัทช์สามารถดูได้ที่กระปุกน้ำมันคลัทช์ ซึ่งสำคัญมากว่าจะต้องให้ระดับของน้ำมันอยู่ที่ระดับขีดสูงสุดเสมอ ถ้าน้อยกว่านั้นให้รีบติดต่อศูนย์บริการหรือสอบถามบริษัทประกันที่คุณต่อประกันชั้น1 เอาไว้เพื่อหาศูนย์ซ่อมที่สามารถจัดการได้ และการดูน้ำมันเกียร์ออโต้จะต้องดูในขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่เท่านั้น จากนั้นก็ทำการดึงก้านวัดออกมาเช็ดแล้วนำใส่กลับเข้าไปใหม่ จากนั้นก็ดึงออกมาดู ถ้าระดับน้ำมันเกียร์อยู่ที่ขีดสูงสุดแสดงว่าปกติครับ

    4. ตรวจเช็คสภาพสายพาน ในเบื้องต้นเราอาจสังเกตได้จากเสียงที่ดังผิดปกติจากภายในห้องเครื่อง และอีกวิธีก็คือการตรวจดูว่าสายพานนั้นมีรอยแตกหรือไม่ ถ้าเกิดพบว่ามีก็ควรทำการเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัย ต่อมาก็ต้องตรวจสอบความตึงของสายพานว่าหย่อนเกินไปหรือไม่ ทำได้โดยการใช้นิ้วกดลงที่บริเวณกึ่งกลางของสายพาน ถ้าหากกดลงไปได้ไม่มาก ประมาณไม่เกิน 10 mm. ก็แสดงว่าอยู่ในระดับความตึงที่ใช้ได้

    5. ตรวจเช็คระดับน้ำมันพาวเวอร์ ในกรณีนี้จะสามารถแบ่งวิธีการดูได้ตามระดับความร้อนของเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ร้อนอยู่ก็ให้ดูที่ด้านที่เขียนว่า Hot แต่ถ้าเครื่องยนต์เย็นก็ให้ดูด้านที่เขียนว่า Cold และจำเป็นอย่างยิ่งที่ระดับของน้ำมันพาวเวอร์จะต้องอยู่ที่ระดับ Full เสมอ

    จะเห็นได้ว่าเป็นวิธีที่ไม่ยากเลยครับ กับการดูแลรักษาเครื่องยนต์ด้วยตัวเองที่คุณเองสามารถตรวจดูได้ไม่ยาก และถ้าใครยังไม่มีศูนย์ซ่อมที่ไว้วางใจก็ลองติดต่อกับบริษัทประกันที่คุณต่อประกันชั้น1 เอาไว้เพื่อให้ช่วยหาศูนย์บริการให้คุณได้ครับ

    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล


    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล
    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล

    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล

    ทุกๆ หน้าเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายคนจะใช้จังหวะนี้เดินทางกลับบ้านเกิด หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งถ้ามีรถส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็เลือกรถส่วนตัวไปเพื่อความสะดวก

    อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทางไกลการตรวจสอบสภาพความฟิตของรถก็เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการตรวจสอบความฟิตของคนขับ แล้วจุดไหนของรถบ้างที่ต้องเช็คเราจะมาชี้เป้า 7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล จะได้ไม่เหวอเพราะเจอปัญหากินข้าวลิงกลางทาง

    1. เช็คน้ำมันเครื่อง

    สิ่งสำคัญของรถยนต์นอกเหนือจากน้ำมันเชื้อเพลิงก็คือ  น้ำมันเครื่อง  นี่แหละที่สำคัญ หากขาดน้ำมันเครื่องไปสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเครื่องยนต์ถึงขั้นพังได้เพราะเครื่องยนต์จะขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ปัญหาต่างๆ ทั้งลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เครื่องความร้อนขึ้น ชาร์ปละลาย (แผ่นปะกับที่รองระหว่างข้อเหวี่ยงกับก้านสูบ) ทุกปัญหาเกิดจากการขาดน้ำมันเครื่อง ซึ่งความพินาศนั้นระดับยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว

    การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทำได้ไม่ยาก แค่เปิดกระโปรงรถเปิดมองหาตำแหน่งจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะมีก้านพลาสติกให้ตรวจสอบ ดึงออกมาแล้วดูว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในตำแหน่ง L หรือ Low หรือเปล่า ถ้าใช่ก็เติมด่วน อย่ารอจนถึงครบรอบถ่ายน้ำมันเครื่องค่อยเปลี่ยนเลย มันเสี่ยงไป

    2. เช็คระบบหล่อเย็น

    อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดไม่แพ้เรื่องอื่นก็คือระบบหล่อเย็นในรถที่อยู่ในเครื่องยนต์ เราควรตรวจสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นเสมอทุกครั้ง เช็คดูว่าในระบบหล่อเย็นยังทำงานดีอยู่ไหม หรือน้ำในหม้อน้ำยังมีน้ำอยู่ไหม แม้รถรุ่นใหม่หากเข้าศูนย์สม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะศูนย์จะเติมให้ตลอด

    คลิกอ่านเพิ่ม >>>ดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง


    แต่ก็เช็คสักนิดก่อนเดินทางก็ดี ถ้าเกิดเห็นหม้อน้ำมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องตรวจสอบก่อนเดินทางไกลอย่างด่วน ไม่อย่างนั้นเครื่องร้อนเกินพังนะ

    3. เช็คยาง

    รถไม่มียางก็วิ่งไม่ได้นี่คือสัจธรรม ต่อให้ โดมินิค ทอเร็ตโต้ มาขับรถที่ไม่มียางก็อย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบยางด้วยทุกครั้ง ทั้งลมยาง และดอกยาง อย่างแรกสุดตรวจสอบลมยางก่อนว่ามีปริมาณลมตรงกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นไหม ซึ่งรถทุกคัน จะมีข้อมูลปริมาณลมยางที่เหมาะสมบอกไว้อยู่


    คลิกอ่านเพิ่ม >>>การดูแลรักษายางรถยนต์






    อีกสิ่งหนึ่งคือดอกยาง ไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไปเพราะหากดอกยางหมดโอกาสที่รถจะเกาะถนนไม่อยู่มีสูงมาก เสี่ยงที่รถจะเกิดอาการไถล บินไปเลยแม็กนั่มสูงมากๆ (ใครเข้าใจมุกนี้ถือว่าไม่เด็กแล้วนะ) หรือถ้ายางปริจนใกล้จะระเบิดก็ควรเปลี่ยนเถอะ ไม่อย่างนั้นยางระเบิดรถคว่ำ อาจถึงตายนะคุณ


    4. เช็คผ้าเบรค

    เบรคคืออีกส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ ถ้าไม่มีเบรคแล้วรถจะเบรคยังไงล่ะจริงไหม แต่ที่น่าตกใจคือคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผ้าเบรค โดยเฉพาะรถยนต์หลายคนคิดว่าผ้าเบรคมีหลายล้อ หมดสักข้างก็มีเป็นไร

    คลิกอ่านเพิ่ม >>> การดูแลรักษาและการใช้งานผ้าเบรก

    หารู้ไม่ว่าหากฝืนใช้ผ้าเบรคจนหมดนอกจากจะเบรคไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือจานเบรคสึก ซึ่งจานเบรคสึกเมื่อเจอกับผ้าเบรคจะทำให้รถเกิดเสียงหอนเพื่อเตือน ถ้ายังไม่ฟังอีกก็เตรียมเงินก้อนไปซื้อจานเบรคมาเปลี่ยนได้เลย สึกก่อนกำหนดแน่ๆ

    5. เช็คไฟส่องสว่าง

    จุดหลักๆ ของไฟส่องสว่างที่ควรเช็คหลักๆ ได้แก่ ไฟหน้ารถ ไฟสูง ไฟท้าย ไฟเลี้ยวทั้งสิงข้าง และไฟเบรคทั้งสองข้าง บางคนมักง่าย คิดแค่ว่า ไฟมันดับไปดวงเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก มองเห็นอยู่ดี แต่คุณอย่าลืมว่า เวลากลางคืน รถยนต์ที่ไฟดับข้างหนึ่งมองไกลๆ คนนึกว่ามอเตอร์ไซค์ สมมติคาดเดาระยะผิดในการแซงขึ้นมานี่ชนตู้มเลยนะ

    ส่วนไฟเลี้ยวที่ต้องส่งสัญญาณบอกคนอื่นว่าเราจะเลี้ยวก็สำคัญ บางจุดคุณจะกลับรถแต่ไฟเลี้ยวเสีย รถคันอื่นที่ตามมาหลังคุณมาเขาไม่สามารถตรัสรู้กับคุณได้แน่นอนว่าจะเลี้ยวหรือหยุด

    6. เช็คแบตเตอรี่

    แบตหมดคือจุดจบของการเดินทาง รถยนต์ใช้แบตเตอรี่ในการสตาร์ททั้งนั้น ถ้าแบตหมดรถก็สตาร์ทไม่ติด วิธีตรวจสอบแบตเตอร์ของรถทำได้สองวิธีคือหนึ่งใช้เครื่องมือวัดโวลต์ของแบตรถยนต์ซึ่งหาซื้อมาได้ไม่ยาก หรือสังเกตจากการตลาดรถยนต์

    คลิกอ่านเพิ่ม >>>ความรู้แบตเตอรี่รถยนต์


    ถ้าสตาร์ทติดยากแล้วเป็นรถที่ใช้มานานเกินสองปีสันนิษฐานเบื้องต้นเลยว่าแบตหมด หากมีอุปกรณ์วัดโวลต์ไฟแบบพกพาก็สามารถเอามาช่วยตรวจสอบได้เพื่อความชัวร์ ถ้าแรงดันไฟต่ำกว่า 11 โวลต์ โอกาสสตาร์ทไม่ติดมีสูง แต่ถ้าแรงดันอยู่ที่ 13.8  – 14.2 โวลต์ ถือว่าปกติ

    7. เช็คของเหลวอื่นๆ

    ในรถยังมีของเหลวอื่นๆ ที่สำคัญนอกจากน้ำมันเครื่อง และน้ำหล่อเย็น ได้แก่น้ำมันเบรค, น้ำมันครัช, น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (มีผลในการควบคุมพวงมาลัย) เปิดใต้กระโปรงรถมา  จะเห็นกระปุกน้ำมันต่างๆ ตั้งอยู่

    ถ้าไม่รู้ว่าจุดไหน เปิดคู่มือเลย ในนั้นมีบอกไว้อย่างละเอียด ส่วนน้ำยาแอร์ แม้จะไม่มีผลต่อการขับขี่ แต่ก็มีผลต่อความสบาย ถ้าแอร์ไม่เย็น แล้วต้องเดินทางในจุดที่ร้อนจัดๆ แอร์พัง นี่ชีวิตก็พังด้วยน้ำ ถ้ารู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นก็เติมเถอะ

    ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้

     
    ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้
    ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้

    ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้

    วันนี้เรามีเคล็ดลับของการขับรถเกียร์ออโต้มาเปิดเผย เพื่อให้คุณปลอดภัย แถมยังประหยัดเงินได้อีกด้วย ตามมาอ่านกันได้เลย
    ปัจจุบัน รถยนต์ในตลาดเมืองไทยส่วนใหญ่มักใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติหรือที่เรียกติดปากกันว่าเกียร์ออโต้ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่เพราะระบบจะเปลี่ยนเกียร์ให้อัตโนมัติ โดยมีตำแหน่งของเกียร์ในการขับเคลื่อนรถยนต์ดังนี้


    ตำแหน่ง P ใช้สำหรับจอดรถในตำแหน่งที่ไม่กีดขวางรถคันอื่นหรือจอดในบริเวณที่ลาดชัน
    ตำแหน่ง R ใช้ในการถอยหลัง เป็นตำแหน่งที่อันตรายมากที่สุด ให้เหยียบเบรกทุกครั้งที่เข้าเกียร์ เพื่อให้รถถอยหลังอย่างช้า ๆ
    ตำแหน่ง N เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการหยุดรถชั่วคราวหรือจอดรถในตำแหน่งที่กีดขวางเส้นทางจราจร
    ตำแหน่ง D ใช้ในการขับขี่เพื่อเดินหน้ารถตามปกติ
    ตำแหน่ง 2 ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่ไม่สูงมากนัก และสามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร
    ตำแหน่ง L ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่สูงมาก และต้องใช้ความเร็วต่ำ


    ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้

    1. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ควรตรวจสอบให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P และสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P เท่านั้น เพราะหากคันเกียร์คร่อมอยู่ในตำแหน่ง P – R แรงสั่นสะเทือนจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ อาจทำให้เกียร์ดีดไปเข้าเกียร์ R ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
    2. ในการขับรถลงทางลาดชัน ต้องใช้เกียร์ตำแหน่ง D3 แต่กรณีที่ทางลงนั้นชันมาก ๆ ให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง 2 เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก (Engine Brake) ในขณะเดียวกันคุณควรเหยียบเบรกไปด้วย หรืออาจใช้เบรกมือ เพื่อช่วยในการหยุดรถที่ดียิ่งขึ้น
    3. ห้ามใช้เกียร์ N หรือ D4 ในการขับรถลงทางชันมากๆ เพราะกำลัวงเครื่องยนต์ไม่พอ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
    4. การจอดรถแล้วไม่ดับเครื่องยนต์ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น จอดรถเพื่อไปลงเปิดประตูบ้านหรือไปซื้อของริมถนน ไม่ควรใช้ตำแหน่ง N แต่ควรใช้ตำแหน่ง P และใส่เบรคมือทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งไปข้างหน้า
    5. หากต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่น เช่น จากตำแหน่ง N ไป D หรือ R ต้องทำในขณะที่รถยนต์จอดสนิท และควรเหยียบเบรกป้องกันกันรถเคลื่อน
    6. หากหยุดในชั่วแค่ 2-3 นาที ก็ควรอยู่ที่ตำแหน่ง D โดยแตะเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเปลี่ยนเป็น N และต้องการป้องกันรถไหลก็ใส่เบรคเบรกมือด้วย
    7. เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง จะช่วยยืดอายุการทำงานของระบบเกียร์ได้เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดและการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ทำให้รถยนต์ต้องวิ่งๆ หยุดๆ แรงดันน้ำมันสูง-ต่ำไม่คงที่ในระบบเกียร์สูงจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง

    เพื่อความปลอดภัยของคุณและคนที่คุณรัก รวมถึงผู้โดยสารอื่นๆ ที่อาจอาศัยการเดินทางด้วยรถยนต์ของคุณ ลองตรวจสอบจากเกร็ดน่ารู้ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ประหยัดเชื้อเพลิง ยืดอายุการใช้งานรถยนต์ระบบเกียร์อัตโนมัติทั้ง 7 ข้อนี้ว่าคุณควรปรับปรุงในส่วนใดบ้าง นับเป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆ ในการสร้างสังคมขับขี่ปลอดภัย

    ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

    ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

    ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

     

    ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

    เนื่องจากผู้ขับขี่รถยนต์ต้องการให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดการใช้งาน จึงต้องเปลี่ยนถ่ายนํ้ามันเครื่องตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตรถยนต์ระบุไว้ในคู่มือประจำรถ ซึ่งจะระบุชนิดความหนืด มาตรฐานคุณภาพขั้นตํ่า รวมถึงระยะในการเปลี่ยนถ่ายนํ้ามันเครื่องไว้ ปัจจุบันนํ้ามันเครื่อง ได้มีการพัฒนาคุณภาพด้านการใช้งานให้สูงขึ้นตามมาตรฐานสากล โดยผสมสารเพิ่มคุณภาพซึ่งได้จากสารสังเคราะห์หลายชนิด ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเครื่องยนต์ และมีอายุการใช้งานเพิ่มมากขึ้น นํ้ามันเครื่องจึงมีหลายชนิด หลายระดับคุณภาพ 

    ซึ่งมีปริมาณสารเพิ่มคุณภาพที่ใช้แตกต่างกันและรักษาคุณสมบัติที่ดีของนํ้ามันเครื่องไว้ได้ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบทั่วไปที่สามารถใช้ในการตัดสินใจในการเปลี่ยนถ่ายนํ้ามันเครื่อง คือ ระยะทางและเวลา (ขึ้นอยู่ว่าสิ่งใดครบกำหนดก่อน) รวมทั้งสภาพการใช้งาน ดังนี้
     
    1. ระยะทาง เกี่ยวข้องกับชนิดของนํ้ามันเครื่องเป็นหลัก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นด้วยเช่น นํ้ามันเครื่องธรรมดา กำหนดการเปลี่ยนถ่าย 7,000–7,500 กิโลเมตร นํ้ามันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ 10,000–15,000 กิโลเมตร และนํ้ามันเครื่องสังเคราะห์ 15,000–20,000 กิโลเมตร

    ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

    ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลา


    2. ระยะเวลา รถยนต์บางคันจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆ มากกว่าใช้งานนํ้ามันเครื่องสามารถเสื่อมสภาพลงได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลา แม้ระยะทางยังไม่ครบกำหนด เพื่อให้รถสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดการใช้งาน นํ้ามันเครื่องธรรมดา กำหนดเปลี่ยนทุก 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ 6-9 เดือน และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ประมาณ 1 ปี

    3. สภาพการใช้งาน ส่งผลโดยตรงและเกี่ยวข้องกับระยะทาง / ระยะเวลาที่ใช้นํ้ามัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รถในสภาพการจราจรที่ติดขัด หรือเส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่น และรถที่ใช้งานหนักกว่าปกติ เช่น ขับรถระยะสั้นๆ เป็นประจำ บรรทุกของหนักมาก การขับรถลุยสายฝน หรือขับรถลุยนํ้าท่วมอยู่เป็นประจำ หรือเครื่องยนต์ ที่ต้องการความเร็วสูงสุด เช่น รถแข่ง ซึ่งต้องมั่นใจว่าคุณสมบัติของนํ้ามันเครื่อง ต้องไม่ลดลง ควรจะต้องเปลี่ยนถ่ายก่อนระยะทาง หรือเร็วกว่าเวลาที่กำหนด และหากใช้เครื่องยนต์ที่มีการดัดแปลงมาใช้ก๊าซธรรมชาติอัดหรือก๊าซหุงต้ม ระยะทาง / ระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายนํ้ามันเครื่องควรจะลดลงจากที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้เช่นกัน เนื่องจากอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์เหล่านี้ จะสูงกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงทั่วไป

    ที่มา : กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน

    ล้างห้องเครื่อง ดีหรือไม่ดี

    ล้างห้องเครื่อง ดีหรือไม่ดี
    ล้างห้องเครื่อง ดีหรือไม่ดี


    ล้างห้องเครื่อง ดีหรือไม่ดี

    นอกเหนือจากการล้างสีดูดฝุ่นกันอยู่เป็นประจำแล้ว การล้างห้องเครื่องก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ สามารถเข้าไปสะสมในห้องเครื่องได้ เนื่องจากเป็นส่วนที่ไม่ได้ถูกปิดแบบมิดชิด เมื่อสิ่งสกปรกเหล่านี้ ถูกปล่อยให้สะสมในห้องเครื่องไว้เป็นเวลานาน ๆ ก็จะส่งผลให้ห้องเครื่องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในสกปรกได้ แล้วการล้างห้องเครื่องบ่อย ๆ มีความจำเป็นไหม จะส่งผลเสียอะไรกับเครื่องยนต์หรือไม่ วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันเกี่ยวกับการล้างห้องเครื่องกันครับ

    การล้างห้องเครื่อง แน่นอนว่าช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกตามชิ้นส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่อยาง หรือสายไฟต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะได้ห้องเครื่องที่สะอาดแล้วยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงสึกหรอของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องเครื่องได้อีกด้วย แต่การล้างห้องเครื่องต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะว่าภายในห้องเครื่องยนต์นั้น เป็นที่รวบรวมชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ ทั้งระบบสายไฟ แบตเตอรี่ กล่อง ECU รวมไปถึงระบบท่อต่าง ๆ ถ้าหากขาดความระมัดระวัง หรือขาดความรู้ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องเครื่องได้ครับ

    การล้างห้องเครื่องที่ถูกต้อง มีวิธีดังต่อไปนี้

    1.) หาผ้ายางคลุมไว้ให้มิดชิด
    2.) ให้นำฟิล์มพลาสติกมาหุ้มส่วนที่อาจเสียหายจากการล้างและความชื้น
    3.) ใช้น้ำชะล้างเบา ๆ ใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาล้างห้องเครื่อง และเอาน้ำเปล่าฉีดล้างอีกทีให้สะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้งและเป่าลมในจุดที่เช็ดไม่ถึง
    4.) นำพลาสติกคลุมออก เช็ดทำความสะอาดในส่วนที่ไม่ได้ล้างให้หมด
    5.) ลงแว๊กซ์เคลือบห้องเครื่อง


    ทั้งนี้การล้างห้องเครื่องบ่อย ๆ นั้น สามารถทำได้ครับ แต่ต้องให้ความสำคัญในการล้างห้องเครื่องอย่างระมัดระวังให้มากที่สุด หากอยากมั่นใจควรนำรถเข้าไปล้างที่ศูนย์บริการจะดีกว่า เพราะที่นั่นมีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการและให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เราได้ครับ


    ดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง


    ดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง
    ดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง

    ดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง

    หม้อน้ำ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการระบายความร้อน หรือหล่อเย็นเครื่องยนต์จากการทำงานที่ต้องอาศัยความร้อน เหตุนี้เองรถยนต์ของเราจึงต้องมีหม้อน้ำเพื่อป้องกันความร้อนสะสมของเครื่องยนต์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติของระบบจุดระเบิด เช่น อุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูงเกินไป จนทำให้เกิดการชิงจุดระเบิด ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์ของเราเกิดอาการน็อคได้  จึงจะนำความรู้ในการตรวจเช็คหม้อน้ำ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน เพื่อจะให้เจ้าหมอน้ำของเรา ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ไปได้นานๆ นั่นเองครับ
     
    ก่อนอื่นก็ต้องทราบกันก่อนครับว่า หม้อน้ำ จะอาศัยปั้มน้ำเป็นตัวหมุนเวียนน้ำ โดยจะไหลเข้าทางด้านล่าง ถ้าเพื่อนๆ สังเกตก็จะเห็นท่อยางหม้อน้ำ ซึ่งจะต่ออยู่กับตัวหม้อน้ำทางด้านล่าง แล้วไหลผ่านโพรงต่างๆ ในเครื่องยนต์ จากนั้นไหลกลับออกมาที่ท่อยางหม้อน้ำ ด้านบนโดยจะมีตัววาล์วน้ำที่เราเรียกกันว่า เทอร์โมสตรัท เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิของน้ำนั่นเองครับ และสิ่งที่เราควรจะต้องตรวจสอบเป็นประจำเพื่อให้เจ้าหม้อน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นก็คือ

    1. ท่อยางหม้อน้ำบน-ล่าง ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่อน้ำด้านบนจะมีอายุสั้นกว่าด้านล่างเพราะท่อน้ำได้บนต้องรับน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่าด้านล่างนั่นเองครับ
    2. วาล์วน้ำ วิธีการสังเกตก็ง่ายๆ ครับ เมื่อไหร่ที่เสียจะทำให้น้ำไม่สามารถไหลเวียนได้เหมือนปกติ ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้น
    3. ฝาหม้อน้ำ ถ้าเสียหรือรั่ว จะทำให้น้ำที่ถูกดันออกมาจากถังพัก ไม่ถูกดูดหลับไปในหม้อน้ำ ซึ่งในการเปลี่ยนก็ต้องสังเกตดีๆ นะครับ เพราะฝาหม้อน้ำไม่ได้ใช้ด้วยกันได้ไปทั้งหมด
    4. น้ำในถังพักน้ำ ต้องอยู่ในระดับ FULL ที่กำหนดไว้อยู่เสมอ
    5. สายยางจากหม้อน้ำไปถังพักน้ำ ถ้ารั่วหรือซึมควรเปลี่ยนให้เร็วที่สุด
    6. พัดลมไฟฟ้า ควรตรวจสอบการทำงานอยู่สม่ำเสมอ ถ้าไม่ทำงานหรือเสีย ควรเปลี่ยนให้เร็วที่สุด
    7. ยางอุดตาน้ำด้านล่าง ถ้าเห็นว่ามีอาการบวมเมื่อไหร่ หามาเปลี่ยนใหม่ได้เลยครับ
    8. คอห่านที่ต่อกับท่อน้ำ อาจผุพังตามการเวลา ควรตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอนะครับ
    9. หม้อน้ำ ถ้าเริ่มรั่วก็ทำใจไปหามาเปลี่ยนใหม่ได้เลยครับ


    นี่ก็เป็นวิธีการตรวจเช็คอุปกรณ์ง่ายๆ ที่เพื่อนๆ ก็สามารถตรวจเช็คได้เอง ไม่ต้องไปเสียเงินไปที่อู่ แต่ถ้ามีอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเสียก็ควรหาอู่ที่ไว้ใจได้ และรีบแก้ไขโดยเร่งด่วนนะครับ เพราะเรื่องความร้อนไม่ใช่เรื่องตลกเลย แล้วยิ่งถ้าเกิดอาการเครื่องฮีทขึ้นมาล่ะก็งานหนักเลยล่ะครับคราวนี้ อย่างไรก็ตาม คอยสังเกตความร้อนของรถเพื่อนๆ อย่างสม่ำเสมอนะครับ


    ที่มา car.boxzaracing.com

    การเติมน้ำมันสลับกันหลาย ๆ ประเภท ส่งผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่


    การเติมน้ำมันสลับกันหลาย ๆ ประเภท  ส่งผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่
    การเติมน้ำมันสลับกันหลาย ๆ ประเภท  ส่งผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่

    การเติมน้ำมันสลับกันหลาย ๆ ประเภท  ส่งผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่


    ข้อสงสัยที่หลายคนยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดสักทีว่าเราสามารถเติมน้ำมันหลาย ๆ ประเภท สลับกันได้หรือไม่ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เอโตะคุงอยากให้เพื่อน ๆ เข้าใจก่อนว่า น้ำมันที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์จะถูกออกแบบและกำหนดมาโดยผู้ผลิตแล้วว่ารถยนต์รุ่นนั้น ๆ รองรับการเติมน้ำมันชนิดใดได้บ้าง

    น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันออกเทน 95 อัตราส่วน 90% ผสมกับเอทานอล 10%

    น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันออกเทน 91 อัตราส่วน 90% ผสมกับเอทานอล 10%

    น้ำมัน E20 คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันออกเทน 95 อัตราส่วน 80% ผสมกับเอทานอล 20%

    น้ำมัน E85 คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันออกเทน 95 อัตราส่วน 15% ผสมกับเอทานอล 85%

    อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่า รถยนต์แต่ละรุ่นนั้นถูกระบุมาแล้ว ว่าสามารถเติมน้ำมันชนิดใดได้บ้าง ดังนั้นการเติมน้ำมันสลับกัน สามารถทำได้ ถ้ารถของเรารองรับน้ำมันชนิดนั้น ๆ เช่น โตโยต้า Yaris Ativ ถูกระบุมาว่าสามารถรองรับน้ำมันได้ถึง E20 แสดงว่า เราสามารถสลับการเติมน้ำมัน ได้ตั้งแต่น้ำมันแก๊สโซฮอล 95  จนถึง E20 ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์แน่นอน และยิ่งรถยนต์ในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาให้สามารถทำงาน โดยสมองกลหรือ ECU จะเป็นตัวคำนวณและปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สอดคล้องกับค่าอ๊อกเทนของน้ำมันที่เติมไปโดยอัตโนมัติครับ

    แต่ในทางกลับกัน ถ้ารถยนต์รุ่นเก่า ๆ ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมา สำหรับรองรับการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล ก็ไม่ควรจะสลับเติมน้ำมันแก๊สโซฮอลเข้าไป เพราะน้ำมันแก๊สโซฮอล จะส่งผลให้เกิดการกัดกร่อนต่อท่อยาง โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สึกหรอเร็วกว่าปกติ และยังส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้ เช่น เครื่องยนต์จะเร่งไม่ขึ้น สะดุด สตาร์ทติดยาก เป็นต้น

    ดังนั้น การสลับประเภทของน้ำมัน สามารถทำได้และไม่ส่งผลเสียใด ๆ ต่อเครื่องยนต์ ถ้าเราเติมน้ำมันตรงตามคู่มือรถยนต์ของเราที่ระบุเอาไว้ก็สบายใจได้เลยครับ 

    ที่มา e-toyotaclub.net


    รถยนต์ความร้อนขึ้นต้องทำไง เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

    รถยนต์ความร้อนขึ้นต้องทำไง เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
    รถยนต์ความร้อนขึ้นต้องทำไง เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

    รถยนต์ความร้อนขึ้นต้องทำไง เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

    ความร้อนขึ้น สิ่งที่แสดงถึงปัญหาการทำงานของเครื่องยนต์ผิดปกติเกี่ยวระบบช่วยระบายความร้อน จนตัวเครื่องร้อนจัด ไม่สามารถรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่สามารถทำงานได้ปกติ เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้กับรถของคุณ สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด และวิธีรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ต้องทำอย่างไร

    อาการเครื่องยนต์ความร้อนขึ้น ตัวรถจะบอกคุณผ่านทางมาตราวัดที่มีมาให้กับรถในบางรุ่น รถ บางรุ่นก็จะมีแค่ไฟเตือนว่าความร้อนรถพุ่งสูงเกินไปแล้วเท่านั้น ไม่มีเข็มบอกระดับอะไรบอกสักอย่าง จะรู้ได้ว่าเครื่องยนต์ร้อนมากเกินไปแล้วก็ต่อเมื่อมีไฟสัญญาณเตือนสว่างซึ่งส่วนใหญ่เป็นไฟสีแดงที่แสดงความหมายว่า “ฉุกเฉิน”  จนถึงขั้นเครื่องยนต์ใกล้ “Over Heat” ดับกลางทางเพราะร้อนเกินไปแล้วที่เครื่องยนต์จะรับได้

    ความร้อนขึ้นสูงที่มาจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

    1. ไม่เช็คระดับน้ำ

    เจ้าของขับอย่างเดียว ไม่ได้เช็คระดับน้ำในหม้อน้ำทำให้น้ำที่เข้าไปหล่อเย็นในระบบการทำงานเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ แม้จะเป็นรถปีไม่เก่ามากระดับน้ำก็สามารถลดลงได้ ผ่านเวลาไปไม่เช็คระดับน้ำเลยก็อาจทำให้เครื่องยนต์อยู่ในสภาวะขาดน้ำ

    2. ปั้มน้ำรั่ว

    อาการขาดน้ำอาจเกิดขึ้นได้จากความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิภายในเครื่องยนต์ด้วย เช่นปั้มน้ำเครื่องยนต์ เมื่อใช้งานจนใกล้ครบอายุ เกิดอาการรั่วเล็กๆ หรือการซึมของน้ำโดยรอบของตัวอุปกรณ์ จนระดับน้ำที่เครื่องยนต์ต้องการไม่เพียงพอ แล้วความร้อนเครื่องยนต์ก็สูงขึ้น

    3. หม้อน้ำเสื่อมสภาพ

    หม้อน้ำรั่วซึมหรือแตก ส่วนใหญ่กับรถที่อายุย่างเข้าปีที่ 10 บวกลบเล็กน้อยมักจะเจอกับปัญหานี้ มีคราบสนิมที่เกาะอยู่ตามขอบหม้อน้ำ ต้องเติมน้ำเข้ากับหม้อน้ำบ่อยๆ นั่นเป็นเพราะน้ำสามารถระเหยออกไปได้จากการรั่วซึม จนสุดท้ายหม้อน้ำแตก หรืออาการหม้อน้ำตันก็เป็นอีกสาเหตุเช่นกัน มาจากสิ่งสกปรกอุดตันในแผงระบายความร้อนส่งผลให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนลดลงมีผลทำให้เครื่องยนต์ความร้อนขึ้นสูงได้เช่นกัน

    4. ท่อยางหม้อน้ำฉีกขาด

    จากอายุรถที่ปีเริ่มสูง ตัวท่อยางต่างๆ สำหรับการเดินน้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์ เริ่มเสื่อมสภาพหรือฉีกขาดได้ง่ายจนไม่สามารถรับแรงดันของน้ำหรือรั่วขณะที่ขับรถจนน้ำหล่อเย็นหายหมดก็ส่งผลทำให้ความร้อนขึ้นสูงได้ในขณะใช้งาน

    5. พัดลมหม้อน้ำเสีย

    พัดลมสำหรับเป่าหรือดูดไอร้อนออกไปจากหม้อน้ำทำให้น้ำในหม้อน้ำเย็นลง แต่กลับทำงานไม่ปกติหรือไม่ทำงาน แทนที่น้ำหล่อเย็นจะไหลเข้าสู่เครื่องช่วยระบายความร้อน กลับเป็นน้ำที่ระดับอุณหภูมิสูงเข้าไปในเครื่องแทนก็ทำให้เครื่องเกิดอาการความร้อนขึ้นสูงได้

    เมื่อรู้ถึงสาเหตุแล้วก็มาดูวิธีปฎิบัติเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่สัญญาณไฟสีแดงเตือนความร้อนเครื่องยนต์ขึ้นสูงต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้ความเเสียหายเกิดกับเครื่องยนต์รุนแรงจนถึงขั้น Over Heat ชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเเกิดความเสียหายรุนแรง เสื้อสูบโก่งต้องยกเครื่องครั้งใหญ่กับค่าใช้จ่ายที่แสนแพง

    ขั้นตอนปฎิบัติเมื่อรถความร้อนขึ้นสูง

    1. รีบจอดรถเข้าข้างทาง

    เมือเข็มพุ่งระดับสูงขึ้นจนอยู่ในเขตสีแดงหรือสัญญาณไฟเตือน ให้รีบตบไฟเลี้ยวจอดข้างทางในทันที ไม่ควรฝืนขับรถไปต่อเพราะยิ่งจะทำให้ความเสี่ยงที่เครื่องจะ Heat มีสูง

    2. เปิดฝากระโปรงระบายความร้อน

    อย่าเพิ่งรีบดับเครื่อง เพราะบางครั้งที่ความร้อนขึ้นสูงอาจมาจากการทำงานผิดปกติของชิ้นส่วนภายนอกที่มองเห็นได้จะได้ทราบสาเหตุความร้อนสูง ปล่อยเครื่องเดินเบาสักพักและสังเกตเข็มระดับความร้อนลดลงหรือไฟสัญญาณเตือนความร้อนดับหรือไม่ สังเกตความผิดปกติของการทำงานของเครื่องยนต์ แต่ถ้าไฟสัญญาณเตือนไม่ดับหรือเข็มความร้อนไม่ลดระดับลงเลยก็ให้ดับเครื่อง เปิดฝากระโปรงเพื่อระบายความร้อนของเครื่องยนต์ออก

    3. รอให้เครื่องเย็นเปิดฝาหม้อน้ำ

    ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำด็ดขาดทันทีที่ดับเครื่องเพราะแรงดันน้ำของเครื่องยนต์ยังสูงอยู่อาจเป็นอันตรายได้ ทิ้งให้รถระบายความร้อนสักครึ่งชั่วโมงหรือจนกว่าจะแน่ใจว่าเครื่องเย็นลงแล้วค่อยเปิดฝาหม้อน้ำได้

    4. เติมน้ำไปจนให้เต็มหม้อน้ำแล้วสตาร์ทรถ

    เปิดฝาหม้อน้ำแล้วเติมน้ำกลับไปในหม้อน้ำให้เต็มรวมไปถึงหม้อพักน้ำด้วย จากนั้นลองสตาร์ทเครื่องยนต์ ค่อยๆ ขับรถไปให้ถึงจุดหมาย ระหว่างที่ขับก็อย่าลืมหมั่นสังเกตระดับเข็มความร้อนหรือไฟสัญญาณเตือนอยู่ตลอด เมื่อถึงจุดหมายปลายทางก็รีบนำรถเข้าอู่ตรวจสอบหาสาเหตุของอาการความร้อนขึ้นโดยด่วน ไม่ควรฝืนใช้รถต่อไป เพราะอาการอาจจะหนักกว่าเดิมจนไม่สามารถขับกลับมาเองได้ต้องใช้รถยกเท่านั้น

    ความร้อนที่สูงเกินไปเป็นสิ่งที่เครื่องยนต์และผู้ใช้รถไม่ปรารถนา ดังนั้นอย่าปล่อยให้น้ำหล่อเย็นในระบบขาด หมั่นตรวจเช็ค สภาพของอุปกรณ์ อาการขาดน้ำที่มากเกินผิดปกติคือสิ่งรถฟ้องกับเจ้าของว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว ควรรีบให้ช่างตรวจสอบก่อนที่รถจะไปตายกลางทาง


    ที่มา chobrod.com

     
    Copyright © PEEICE. Designed by OddThemes