Headlines

  • แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด
    แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด

    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์

    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์
    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์


    ค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับรถยนต์

    สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของรถ ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับรถเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในหลายๆ เรื่องหากล่าช้าเกินกำหนด ก็อาจทำให้ต้องเสียทั้งเงินและเวลามากขึ้น เพื่อที่จะป้องกันปัญหาดังกล่าว การรู้ว่าอะไรที่ทำหรือซื้อล่วงหน้าได้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ที่เป็นเจ้าของรถควรรู้ ซึ่งก็มีดังต่อไปนี้

    1. ประกันภัยรถยนต์

    การทำประกันภัยรถยนต์เป็นการทำประกัน ที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของรถเมื่อมีอุบัติเหตุต่างๆ ในการใช้รถใช้ถนนเกิดขึ้น เพื่อที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้น้อยลง ซึ่งการต่อประกันภัยรถยนต์ที่กำลังจะหมดอายุลงนั้น จะต้องทำในช่วงเวลาใด จะต่อก่อนที่ประกันจะหมดอายุลง 1 วันหรือจะต่อเอาไว้ล่วงหน้าซัก 6 ก็เดือน ก็มีช่วงเวลาให้เลือกตามความต้องการของผู้ทำประกัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อประกันล่วงหน้า 1 วัน 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน ซึ่งช่วงเวลาที่แตกต่างกันในการทำประกันนี้ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ผู้ทำประกันจึงต้องศึกษาดูว่าจะเลือกทำประกันนานล่วงหน้าแค่ไหนจึงจะเหมาะสมกับตนเองที่สุด

    2. พรบ.รถยนต์

    หากคุณเป็นเจ้าของรถหรือเป็นผู้ครอบครองรถ การทำ พรบ.รถยนต์คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535และแก้ไขเพิ่มเติม  ซึ่งการทำ พรบ. รถยนต์ จะให้ความคุ้มครองจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถ  ทั้งแก่ผู้ขับขี่ เจ้าของรถ และคนเดินเท้า โดย พรบ. รถยนต์จะให้ความคุ้มครองหากเกิดบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ซึ่งผู้ทำ พรบ. จะได้รับเงินชดเชยแตกต่างกันตามแต่กรณีไป

    3. การต่อภาษีรถยนต์

    การต่อภาษีรถยนต์ หรือต่อทะเบียนรถยนต์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ที่เป็นเจ้าของรถจะต้องทำทุกปี มิเช่นนั้นจะมีโทษตามกฎหมาย โดยระยะเวลาที่กำหนดไว้ในการขอต่อภาษีรถยนต์ก็คือสามารถต่อภาษีได้ล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งในปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกก็ได้ขยายช่องทางในการรับชำระภาษีรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์ ที่ www.dlte-serv.in.th (เฉพาะรถที่ไม่ต้องตรวจสอบสภาพ) ไปรษณีย์ , ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง , จุดบริการตามห้างสรรพสินค้า ,ผ่าน ตรอ. , ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส และเซเว่นอีเลฟเว่น

    4. อะไหล่รถยนต์

    รถยนต์นั้นเมื่อมีอายุการใช้งานนานขึ้น อะไหล่บางตัวก็จะหมดอายุการใช้งานลง และเพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานให้มากที่สุด การเปลี่ยนอะไหล่ใหม่เมื่อถึงระยะที่กำหนดก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ซึ่งอะไหล่รถยนต์ที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนอยู่เสมอนั้นก็มีอย่างเช่น น้ำมันเครื่อง และไส้กรองน้ำมันเครื่อง ซึ่งหากเมื่อไหร่ที่คุณพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีดำสนิท นั่นหมายความว่าน้ำมันเครื่องได้เสื่อมสภาพแล้ว คุณสามารถเปลี่ยนใหม่ได้เลยโดยที่ไม่ต้องรอให้มันถึงระยะก่อนแต่อย่างใด แบตเตอรี่ ทั้งแบบแห้งและแบบเปียก ซึ่งจะมีอายุการใช้งานอยู่ราว 2-3 ปี เป็นต้น

    5. เติมเงินใน easypass

    สำหรับการใช้รถใช้ถนนของคนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ การขึ้นทางด่วนซึ่งจะต้องชำระค่าผ่านทาง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตประจำวันเลยทีเดียว และเชื่อว่าไม่ใครก็ใครก็อาจเคยประสบปัญหาเงินหมดก่อนที่จะถึงหน้าเคาน์เตอร์กันมาแล้วไม่มากก็น้อย กลับกลายเป็นว่าแทนที่การขึ้นทางด่วนจะช่วยให้ไวขึ้นกลับต้องมาเสียเวลามากขึ้นไปอีก แต่ประสบกการณ์แย่ๆ แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ หากคุณได้เตรียมเติมเงิน Easy Pass ล่วงหน้ามาให้เรียบร้อย ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกมากมายหลายช่องทางให้คุณได้เลือกเติมเงิน Easy Pass ก่อนที่จะขึ้นทางด่วน ไม่ว่าจะเป็น เติมเงินกับ Easy Pass Online หรือ  เติมเงินผ่าน Mobile Banking / Internet Banking  เป็นต้น


    ที่มา roojai.com

    วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ


     วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ
     วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ

    วิธีเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ดีๆ

    สำหรับผู้ใช้รถยนต์ที่รถที่ใช้อยู่มีอายุหรือระยะทางเกินกว่าที่บริษัทรถยนต์รับประกัน ก็อาจเลือกที่จะมองหาอู่ซ่อมรถยนต์ข้างนอกมากกว่าที่จะเข้าศูนย์ซ่อม ซึ่งการได้ช่าง หรืออู่ซ่อมรถยนต์คู่ใจนับว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อมีปัญหาเราสามารถพุ่งตรงไปที่ช่างหรืออู่นั้นๆ ได้แบบไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่จะมีวิธีในการหาอู่ซ่อมที่ดีแบบนั้นได้อย่างไร เรามีวิธีมาบอกกันดังต่อไปนี้

    1. ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์กันหน่อย

    อินเทอร์เน็ตเป็นอีกแหล่งหนึ่งสำหรับการค้นหาข้อมูลที่ต้องการรวมทั้งการเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันอู่ซ่อมรถยนต์จำนวนมากต่างก็มีเว็บไซต์เปิดบริการให้ลูกค้าได้เข้าไปศึกษาข้อมูล ดำเนินการติดต่อกับทางอู่เพื่อนำรถเข้าอู่ซ่อมต่อไป

    นอกจากนี้แล้วก็ยังมีการรีวิวจากผู้ที่ได้เคยเข้าใช้บริการอู่ต่าง ๆ มาแล้วมาให้ได้ศึกษากันว่าแต่ละอู่นั้นมีบริการเป็นอย่างไร ได้มาตรฐานหรือไม่ มีฝีมือมากน้อยแค่ไหนคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียไปหรือเปล่า รวมถึงยังมีเว็บคลับเกี่ยวกับรถยนต์เฉพาะรุ่น ซึ่งคนในกลุ่มจะมาสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งถ้าหากเป็นรถรุ่นเดียวกับที่เราใช้อยู่เราก็อาจจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับการซ่อมจากเพื่อนในคลับก็ได้ เพราะคนเหล่านี้จะมีความเข้าใจอาการของรถรุ่นที่เราใช้อยู่ และมีความรู้เรื่องอู่เฉพาะทางที่มีความสามารที่เปิดรับซ่อมรถยนต์รุ่นนั้น ๆ


    ไปลองชิมลางดูก่อน
    ไปลองชิมลางดูก่อน

    2. ไปลองชิมลางดูก่อน

    บางทีการฟังคนนี้พูดคนนั้นพูดก็ไม่เท่ากับการที่เราประสบด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นเมื่อฟังใครแนะนำถึงใครจะว่าดีอย่างไร เราก็ควรทดลองใช้บริการเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเปลี่ยนผ้าเบรคหรือเปลี่ยนกระจกมองข้าง เพื่อดูว่าจะดีอย่างที่เราต้องการหรือไม่ เพราะดีของเรากับดีของเขาอาจไม่เหมือนกันก็ได้ คือเมื่อนำรถไปทดลองใช้บริการก็ให้ดูว่าช่างให้คำแนะนำกับเราอย่างไร เราฟังแล้วรู้สึกสงสัยอะไรหรือไม่ ช่างตอบคำถามเราได้อย่างชัดเจนเป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า พูดจาดีไหม หรือว่าเอาแต่เชียร์ให้เปลี่ยนอะไหล่ใหม่อย่างไม่มีเหตุผลสมควรหรือเปล่า ค่าซ่อมค่าบริการเป็นอย่างไรสมเหตุสมผลไหม รวมทั้งในเรื่องของการดูแลรถลูกค้า การใส่ใจในความสะอาดของตัวรถเพราะช่างบางคนอาจขาดความระมัดระวังในเรื่องของความสะอาด มือที่เปรอะเปื้อนกับเสื้อผ้าที่ไปคลุกอะไรต่ออะไรมาอาจทำให้เบาะผ้าของเรา ต้องเลอะเทอะจนพูดไม่ออกเลยก็เป็นได้

    เน้นสะดวกใกล้บ้านไว้ก็ดี
    เน้นสะดวกใกล้บ้านไว้ก็ดี

    3. เน้นสะดวกใกล้บ้านไว้ก็ดี

    มีอู่ซ่อมรถยนต์เปิดให้บริการมากมากหลายแห่ง ซึ่งหากพื้นที่ใกล้เคียงหรือไม่ไกลจากบ้านเรามีอู่เปิดบริการรับซ่อมรถรุ่นที่เราใช้อยู่ ก็ควรจะพิจารณาเลือกใช้บริการจากอู่ที่อยู่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงก่อน เพื่อที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาในการเดินทาง เพื่อที่เราจะสามารถไปดูความคืบหน้าในการซ่อมได้โดยง่าย หรือหากช่างต้องการที่จะพูดคุยเนื่องจากมีการซ่อมเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่เราก็จะสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางนัก

    4. ลองถามๆ จากคนรู้จัก

    คนใกล้ตัวหรือคนรู้จักก็เป็นแหล่งข้อมูลที่จะให้คำแนะนำแก่เราได้ เมื่อเราต้องการที่จะใช้บริการอู่ซ่อมข้างนอก แต่ก็ยังมีความกังวลในเรื่องต่าง ๆ จนตัดสินใจไม่ถูกหรือไม่รู้ว่าจะเอารถไปซ่อมกับอู่ไหนดี ลองถามคนใกล้ตัวอย่างเช่นเพื่อนบ้านดูว่า เขารู้จักอู่ซ่อมรถที่อยู่ใกล้ ๆ ที่ไหนบ้างที่มีช่างเก่ง ๆ ฝีมือดี บริการดี คิดค่าซ่อมไม่แพงจนเกินไป หรือถ้าเขาเคยไปใช้บริการมาแล้วเราอาจปรึกษาเขาได้เลยว่ารถเราเสียตรงจุดไหน ยังไง ซ่อมแล้วดีไหม ช่างคิดค่าบริการประมาณเท่าไหร่ เป็นต้น

    ที่มา roojai.com

    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล


    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล
    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล

    7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล

    ทุกๆ หน้าเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายคนจะใช้จังหวะนี้เดินทางกลับบ้านเกิด หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งถ้ามีรถส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็เลือกรถส่วนตัวไปเพื่อความสะดวก

    อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทางไกลการตรวจสอบสภาพความฟิตของรถก็เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการตรวจสอบความฟิตของคนขับ แล้วจุดไหนของรถบ้างที่ต้องเช็คเราจะมาชี้เป้า 7 จุดสำคัญที่ควรตรวจสภาพของรถยนต์ก่อนเดินทางไกล จะได้ไม่เหวอเพราะเจอปัญหากินข้าวลิงกลางทาง

    1. เช็คน้ำมันเครื่อง

    สิ่งสำคัญของรถยนต์นอกเหนือจากน้ำมันเชื้อเพลิงก็คือ  น้ำมันเครื่อง  นี่แหละที่สำคัญ หากขาดน้ำมันเครื่องไปสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเครื่องยนต์ถึงขั้นพังได้เพราะเครื่องยนต์จะขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ปัญหาต่างๆ ทั้งลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เครื่องความร้อนขึ้น ชาร์ปละลาย (แผ่นปะกับที่รองระหว่างข้อเหวี่ยงกับก้านสูบ) ทุกปัญหาเกิดจากการขาดน้ำมันเครื่อง ซึ่งความพินาศนั้นระดับยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว

    การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทำได้ไม่ยาก แค่เปิดกระโปรงรถเปิดมองหาตำแหน่งจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะมีก้านพลาสติกให้ตรวจสอบ ดึงออกมาแล้วดูว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในตำแหน่ง L หรือ Low หรือเปล่า ถ้าใช่ก็เติมด่วน อย่ารอจนถึงครบรอบถ่ายน้ำมันเครื่องค่อยเปลี่ยนเลย มันเสี่ยงไป

    2. เช็คระบบหล่อเย็น

    อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดไม่แพ้เรื่องอื่นก็คือระบบหล่อเย็นในรถที่อยู่ในเครื่องยนต์ เราควรตรวจสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นเสมอทุกครั้ง เช็คดูว่าในระบบหล่อเย็นยังทำงานดีอยู่ไหม หรือน้ำในหม้อน้ำยังมีน้ำอยู่ไหม แม้รถรุ่นใหม่หากเข้าศูนย์สม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะศูนย์จะเติมให้ตลอด

    คลิกอ่านเพิ่ม >>>ดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ ด้วยตัวคุณเอง


    แต่ก็เช็คสักนิดก่อนเดินทางก็ดี ถ้าเกิดเห็นหม้อน้ำมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องตรวจสอบก่อนเดินทางไกลอย่างด่วน ไม่อย่างนั้นเครื่องร้อนเกินพังนะ

    3. เช็คยาง

    รถไม่มียางก็วิ่งไม่ได้นี่คือสัจธรรม ต่อให้ โดมินิค ทอเร็ตโต้ มาขับรถที่ไม่มียางก็อย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบยางด้วยทุกครั้ง ทั้งลมยาง และดอกยาง อย่างแรกสุดตรวจสอบลมยางก่อนว่ามีปริมาณลมตรงกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นไหม ซึ่งรถทุกคัน จะมีข้อมูลปริมาณลมยางที่เหมาะสมบอกไว้อยู่


    คลิกอ่านเพิ่ม >>>การดูแลรักษายางรถยนต์






    อีกสิ่งหนึ่งคือดอกยาง ไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไปเพราะหากดอกยางหมดโอกาสที่รถจะเกาะถนนไม่อยู่มีสูงมาก เสี่ยงที่รถจะเกิดอาการไถล บินไปเลยแม็กนั่มสูงมากๆ (ใครเข้าใจมุกนี้ถือว่าไม่เด็กแล้วนะ) หรือถ้ายางปริจนใกล้จะระเบิดก็ควรเปลี่ยนเถอะ ไม่อย่างนั้นยางระเบิดรถคว่ำ อาจถึงตายนะคุณ


    4. เช็คผ้าเบรค

    เบรคคืออีกส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ ถ้าไม่มีเบรคแล้วรถจะเบรคยังไงล่ะจริงไหม แต่ที่น่าตกใจคือคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผ้าเบรค โดยเฉพาะรถยนต์หลายคนคิดว่าผ้าเบรคมีหลายล้อ หมดสักข้างก็มีเป็นไร

    คลิกอ่านเพิ่ม >>> การดูแลรักษาและการใช้งานผ้าเบรก

    หารู้ไม่ว่าหากฝืนใช้ผ้าเบรคจนหมดนอกจากจะเบรคไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือจานเบรคสึก ซึ่งจานเบรคสึกเมื่อเจอกับผ้าเบรคจะทำให้รถเกิดเสียงหอนเพื่อเตือน ถ้ายังไม่ฟังอีกก็เตรียมเงินก้อนไปซื้อจานเบรคมาเปลี่ยนได้เลย สึกก่อนกำหนดแน่ๆ

    5. เช็คไฟส่องสว่าง

    จุดหลักๆ ของไฟส่องสว่างที่ควรเช็คหลักๆ ได้แก่ ไฟหน้ารถ ไฟสูง ไฟท้าย ไฟเลี้ยวทั้งสิงข้าง และไฟเบรคทั้งสองข้าง บางคนมักง่าย คิดแค่ว่า ไฟมันดับไปดวงเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก มองเห็นอยู่ดี แต่คุณอย่าลืมว่า เวลากลางคืน รถยนต์ที่ไฟดับข้างหนึ่งมองไกลๆ คนนึกว่ามอเตอร์ไซค์ สมมติคาดเดาระยะผิดในการแซงขึ้นมานี่ชนตู้มเลยนะ

    ส่วนไฟเลี้ยวที่ต้องส่งสัญญาณบอกคนอื่นว่าเราจะเลี้ยวก็สำคัญ บางจุดคุณจะกลับรถแต่ไฟเลี้ยวเสีย รถคันอื่นที่ตามมาหลังคุณมาเขาไม่สามารถตรัสรู้กับคุณได้แน่นอนว่าจะเลี้ยวหรือหยุด

    6. เช็คแบตเตอรี่

    แบตหมดคือจุดจบของการเดินทาง รถยนต์ใช้แบตเตอรี่ในการสตาร์ททั้งนั้น ถ้าแบตหมดรถก็สตาร์ทไม่ติด วิธีตรวจสอบแบตเตอร์ของรถทำได้สองวิธีคือหนึ่งใช้เครื่องมือวัดโวลต์ของแบตรถยนต์ซึ่งหาซื้อมาได้ไม่ยาก หรือสังเกตจากการตลาดรถยนต์

    คลิกอ่านเพิ่ม >>>ความรู้แบตเตอรี่รถยนต์


    ถ้าสตาร์ทติดยากแล้วเป็นรถที่ใช้มานานเกินสองปีสันนิษฐานเบื้องต้นเลยว่าแบตหมด หากมีอุปกรณ์วัดโวลต์ไฟแบบพกพาก็สามารถเอามาช่วยตรวจสอบได้เพื่อความชัวร์ ถ้าแรงดันไฟต่ำกว่า 11 โวลต์ โอกาสสตาร์ทไม่ติดมีสูง แต่ถ้าแรงดันอยู่ที่ 13.8  – 14.2 โวลต์ ถือว่าปกติ

    7. เช็คของเหลวอื่นๆ

    ในรถยังมีของเหลวอื่นๆ ที่สำคัญนอกจากน้ำมันเครื่อง และน้ำหล่อเย็น ได้แก่น้ำมันเบรค, น้ำมันครัช, น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (มีผลในการควบคุมพวงมาลัย) เปิดใต้กระโปรงรถมา  จะเห็นกระปุกน้ำมันต่างๆ ตั้งอยู่

    ถ้าไม่รู้ว่าจุดไหน เปิดคู่มือเลย ในนั้นมีบอกไว้อย่างละเอียด ส่วนน้ำยาแอร์ แม้จะไม่มีผลต่อการขับขี่ แต่ก็มีผลต่อความสบาย ถ้าแอร์ไม่เย็น แล้วต้องเดินทางในจุดที่ร้อนจัดๆ แอร์พัง นี่ชีวิตก็พังด้วยน้ำ ถ้ารู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นก็เติมเถอะ

    รถเสียกลางทาง เกิดอุบัติเหตุกลางถนน แก้ปัญหาดังนี้

    รถเสียกลางทาง
    รถเสียกลางทาง


    รถเสียกลางทาง เกิดอุบัติเหตุกลางถนน แก้ปัญหาดังนี้

    ปัญหารถเสียกลางทางขณะเดินทาง สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ทันตั้งตัว รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุ ชนท้าย เฉี่ยวชนก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วคงต้องตั้งสติรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ดี วันนี้มีวิธีแก้ปัญหามาแนะนำครับ

    เกิดอุบัติเหตุกลางถนน

    ปกติถ้าเกิดอุบัติเหตุบนถนนโดยมีคู่กรณีอยู่ด้วย เรามักไม่เคลื่อนรถ เพราะต้องรอตำรวจหรือประกันมาจัดการเรื่องให้ แต่ในกรณีที่สามารถตกลงกันได้ว่าใครเป็นฝ่ายถูกผิด และรถที่เกิดอุบัติเหตุขวางทางอยู่ทำให้การจราจรติดขัด สามารถนำรถหลบข้างทางเพื่ออำนวนความสะดวกให้ผู้อื่น และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนที่อาจเกิดขึ้นครับ

    ขั้นตอนการจัดการเมื่อรถชนกลางถนน

    1.  เปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเตือนให้รถคันหลังที่ตามมารู้ว่าเกิดอุบัติเหตุอยู่ข้างหน้า ถ้ามีกรวยหรือป้ายฉุกเฉินอยู่ด้วยให้นำไปตั้ง รถคันอื่นจะได้เห็นจากระยะไกล ป้องกันการชนซ้ำได้เป็นอย่างดีครับ
    2. ลงไปเจรจาอย่างใจเย็นกับคู่กรณี อย่าใจร้อน ใช้เหตุผลคุยกัน ใครถูกใครผิดจริงๆรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะยอมรับความจริงกันได้หรือเปล่าเท่านั้น
    3.โทรไปหาประกันให้มาจัดการเคลียร์เรื่องให้ ถ้ารถไม่มีประกันให้โทรไปหาญาติหรือเพื่อนที่อยู่ใกล้ที่สุด ที่มีประสบการณ์เรื่องรถชนให้มาช่วยจัดการ
    4. เลื่อนรถเข้าข้างทาง ถ้าคุยกันรู้เรื่องว่าใครถูกใครผิด ควรเคลื่อนรถเข้าข้างทาง เพื่อให้รถที่สัญจรอยู่ไปได้สะดวก ช่วยป้องกันการชนซ้ำหรือการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้เป็นอย่างดีครับ

    รถเสียกลางทาง

    ในกรณีที่รถเสียกลางทาง อันดับแรกที่ต้องทำคือ "ตั้งสติ" พยายามนำรถเข้าใกล้ขอบทางให้มากที่สุด แต่ถ้าเกิดดับกลางถนนให้เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนรถคันหลัง เป็นสัญญาณบอกว่ารถเรากำลังมีปัญหา ถ้าสามารถเข็นรถเข้าข้างทางได้ควรทำ การจราจรจะได้ไม่ติดขัด คนไทยมีน้ำใจถ้าเห็นเราเข็นคนเดียวเดี๋ยวก็เข้ามาช่วยเข็น จากนั้นให้โทรหาอู่หรือช่างประจำ หรือเรียกรถยกเพื่อไปอู่ที่ใกล้ที่สุด แต่ถ้ามีประกันช่วยเหลือฉุกเฉินจากศูนย์รถ ก็ให้โทรหาประกันให้มาจัดการให้

    สิ่งที่ควรระวังเมื่อลดเสียกลางทาง คือ ระวังพวกมิจฉาชีพที่ปลอมตัวเป็นพลเมืองดี หรือบอกว่าเป็นช่างซ่อมรถมาช่วยลากรถไปอู่ให้ แต่พอซ่อมเสร็จกลับฟันค่าซ่อมรถเกินความจริง เดี๋ยวนี้มีแบบนี้เยอะ ต้องระวังกันไว้ด้วยครับ ถ้ารถเสียกลางทางโทรหาคนรู้จักหรืออู่ที่ไว้ใจได้ดีที่สุดครับ


    ที่มา neverdiecar.com

    แอร์รถยนต์เหม็นอับเกิดจากอะไร

    แอร์รถยนต์เหม็นอับเกิดจากอะไร
    แอร์รถยนต์เหม็นอับเกิดจากอะไร

     แอร์รถยนต์เหม็นอับเกิดจากอะไร

    ได้กลิ่นอีกแล้ว กลิ่นนี้มาจากไหนกันนะ  ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นรถทีไร เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนมักจะได้กลิ่นอับลอยมาเตะจมูกชวนให้รำคาญใจทุกที มาดูกันสิว่ากลิ่นอับที่เราเจอนั้นเกิดจากอะไร พร้อมวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้กลิ่นอับเหล่านั้นกลับมากวนใจเราอีก

    การอุดตันของแผ่นกรองอากาศ

    หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า “กรองแอร์” นั่นเอง กรองแอร์มีหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก โดยปกติแล้วมีอายุการใช้งานที่ต้องเปลี่ยนตามระยะ ถ้าหากใช้งานไปนาน ๆ โดยที่ไม่เปลี่ยนเลย กรองแอร์จะตัน เพราะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกติดอยู่ ทำให้อากาศไม่สามารถผ่านไปได้สะดวก จนเกิดกลิ่นเหม็นอับได้

    วิธีแก้ไขคือ ควรเปลี่ยนกรองแอร์ตามอายุการใช้งานที่ระบุไว้ ก็จะลดปัญหาเรื่องกลิ่นอับจากกรองแอร์ได้แล้ว

    มีความชื้นที่ตู้คอยล์เย็น

    ตู้คอยล์เย็น ทำหน้าที่ดูดซึมความร้อน และถ่ายเทความเย็นออกมา เมื่อเราเปิดแอร์ไปสักพัก ในตู้คอยล์เย็นจะมีความชื้นสะสมอยู่มากเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเราจอดรถแล้วปิดแอร์ดับเครื่องทันที ความชื้นนั้นยังจะคงอยู่ในตู้คอยล์เย็น พอมีความชื้นสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ส่งผลให้เกิดเชื้อราและนำไปสู่กลิ่นเหม็นอับตามมา

    วิธีแก้ไขคือ ก่อนดับเครื่องทุกครั้งให้ปิดน้ำยาแอร์ (ปุ่ม a/c) และเปิดพัดลมแอร์ ทิ้งไว้สัก 3-5 นาที เพื่อไล่ความชื้นออกจากตู้คอยล์เย็นให้หมด เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยลดความชื้นที่จะนำไปสู่การเกิดกลิ่นอับตามมาได้

    ปัญหากลิ่นอับจากแอร์รถยนต์ สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก แค่เพื่อน ๆ หมั่นดูแลรักษาความสะอาดภายในรถ ไม่ทิ้งขยะ หรือกินอาหารบนรถ นำพรมวางเท้าออกมาทำความสะอาด หรือตากแดดบ้างอาทิตย์ละครั้ง ก็จะช่วยป้องกันปัญหากลิ่นอับจากฝุ่นได้ครับ

    ที่มา e-toyotaclub.net


     
    Copyright © PEEICE. Designed by OddThemes