Headlines

  • แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ยางรถยนต์ แสดงบทความทั้งหมด
    แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ยางรถยนต์ แสดงบทความทั้งหมด

    การดูแลรักษายางรถยนต์

    การดูแลรักษายางรถยนต์
    การดูแลรักษายางรถยนต์

     

    การดูแลรักษายางรถยนต์

    ด้วยการหมั่นดูแลรักษายางรถยนต์ของท่านเป็นประจำ ยางของท่านจะใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ ยางจะค่อยๆสึกหรอ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะพิจารณาได้ว่าจุดใดเป็นจุดที่สมรรถนะของยางเสื่อมที่จะทำให้ท่านเกิดความกังวลใจ ถ้าหากรถของท่านไม่เลี้ยวหรือวิ่งบนถนนที่เปียกไม่ดีดังเช่นที่เคยเป็นเหมือนเมื่อก่อน หรือกว่าจะเบรกต้องใช้เวลานาน หรือมีการสั่นสะเทือนมาก ท่านอาจจะต้องแก้ไขโดยการสับยาง ถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์ หรืออาจถึงเวลาที่ท่านจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ก็ได้

    คำแนะนำเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับการบำรุงรักษายางที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
    และเมื่อใดควรจะถึงเวลาที่จะต้องส่งยางรถยนต์ หรือไปที่ศูนย์บริการเพื่อบำรุงรักษา


    การรักษาระดับความดันลมยางอย่างถูกต้อง

    จงทำให้เกิดเป็นนิสัยประจำในการตรวจสอบความดันลมยาง (ทุกๆ 2-4 สัปดาห์) เนื่องจากยางที่สูบลมโดยมีความดันลมยางที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และทำให้อายุการใช้งานยางรถยนต์ยาวนานกว่าปกติ

    หมั่นตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำ

    แม้ว่าโดยเงื่อนไขแห่งหลักการ ยางรถยนต์จะเสียความดันในอัตราประมาณ 0.69 บาร์ (Bar) หรือ 1 อนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) ต่อเดือน แต่อัตราดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ขอให้ท่านหมั่นตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของท่านอย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้งและดูดอกยางโดยละเอียดถี่ถ้วนเมื่อท่านตรวจสอบยาง ท่านจะเห็นคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความดันลมยางในคู่มือรถยนต์ของท่านหรือแก้มของยาง

    คลิกชื้อเลย

    ควรทำอย่างไรในการตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของท่าน

    ซื้อเกจวัดความดันยางหรือใช้เกจวัดความดันยางที่จุดบริการใกล้บ้านท่านก่อนอื่น ในตอนเช้าหรือเมื่อยางรถยนต์ของท่านเย็น จงตรวจสอบยาง เพราะขณะขับขี่รถยนต์ยางจะร้อนซึ่งจะทำให้การตรวจสอบลมยางไม่เที่ยงตรงคลายวาล์วหัวสูบลม(valve) และเสียบเกจวัดบนวาล์วสูบยาง ถ้ามีเสียงฟู่สั้นๆถือว่ายางปกติอ่านเกจวัดความดันลมยางแล้วนำมาเปรียบเทียบกับความดันลมยางรถยนต์ของท่านที่เป็น bar หรือ psi ซึ่งได้รับการแนะนำให้ใช้ แต่จงใช้ bar ก่อนปรับความดันลมยางรถยนต์ของท่านด้วยอุปกรณ์อัดลมประจำบ้านหรือสูบยางที่อู่รถใกล้บ้านท่านตรวจสอบความดันลมยางของท่านอีกครั้งด้วยเกจวัดและเปรียบเทียบกับข้อกำหนดเฉพาะของผู้ผลิตปิดฝาวาล์วสูบยาง แต่ละล้อจงมั่นใจว่ายางแต่ละเส้นได้รับการตรวจสอบ ถ้าความดันลมยางต่ำเกินไปนั่นหมายว่าถึงเวลาที่ท่านจะต้องให้อู่ที่ท่านใช้บริการตรวจสอบได้แล้วยางรถยนต์ของท่านอาจมีลมซึมออกช้าๆโดยมีสาเหตุเนื่องมาจากขนาดของขอบยางไม่ถูกต้องหรือลิ้นท่อยางผิดขนาด

    การสลับยางรถยนต์ของท่าน

    จงมั่นใจว่ายางรถยนต์ของท่านสึกเสมอกันทุกล้อ โดยการสลับยางทุกๆ 10,000 ถึง 12,000 กม. หรือทุกหกเดือนการสลับยางจะทำให้ยางรถยนต์ของท่านทั้งชุดสึกหรอเท่ากันถึงแม้ว่าการสลับยางจะช่วยยืดอายุยางของท่านและเกิดการบังคับและแรงฉุดที่สมดุลได้แต่การสลับยางยังสามารถช่วยท่านได้ในการบังคับโดยง่ายดายและสะดวกสบายขึ้นน่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้าจะมีการสลับยางทุกๆครั้งของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง

    ทำไมท่านจึงควรสลับยาง โดยปกติ ยางล้อหน้ารถยนต์ของท่านจะสึกเร็วกว่ายางล้อหลัง ถ้าหากท่านสลับตำแหน่งยางบ่อยๆ จะช่วยให้ยางสึกเท่ากันและดอกยางจะมีอายุการใช้งานนานที่สุด สิ่งที่ควรจดจำที่คุ้มค่ามากคือการสลับยางไม่สามารถแก้ปัญหาการสึกหรอของยางได้ถ้าหากความดันลมยางไม่ถูกต้อง



    การดูแลรักษายางรถยนต์
    การดูแลรักษายางรถยนต์


    บ่อยครั้งเพียงใดที่ต้องสลับยาง

    เป็นความคิดที่ดีถ้าหากท่านจะสลับยางรถยนต์ของท่านทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง (หรือคร่าวๆประมาณ 10,000 ถึง 12,000 กม.) ถ้าหากท่านขับรถเร็ว บรรทุกของหนัก หรือวิ่งรถระยะทางไกลๆ ท่านอาจจะต้องสลับยางบ่อยๆเป็นพิเศษ ท่านควรสลับยางให้เร็วที่สุดที่สามารถทำได้เมื่อสังเกตเห็นว่ายางสึกไม่เท่ากัน ถ้ายางปล่อยเสียงดังหึ่งๆขณะขับขี่รถบนถนนเรียบ นั่นอาจหมายถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องสลับยาง

    หมั่นตรวจสอบดอกยางรถยนต์ของท่าน

    สภาพดอกยางรถยนต์ของท่านเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งของความสมบูรณ์ของสภาพรถยนต์ การตรวจสอบยางทั้งสี่ล้อเป็นประจำจะช่วยให้ท่านสามารถวินิจฉัยปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ซึ่งท่านอาจจะต้องใช้บริการมืออาชีพช่วย จงตรวจสอบยางของท่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง และก่อนหรือหลังการเดินทางที่ยาวนาน

    การเปลี่ยนยาง

    การตรวจและบำรุงรักษายางเป็นประจำจะช่วยยืดอายุยางได้ แต่ยางทั้งหมดก็ต้องสึกหรอไปตามกาลเวลาอายุของยางจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยการขับขี่รถของท่าน ภูมิอากาศของสถานที่ที่ท่านพักอาศัยอยู่และการบำรุงรักษายางของท่านดีเพียงใด ยางทั้งหมดย่อมมีการสึกและเสียหายและต้องเปลี่ยนในท้ายที่สุด

    ดอกยางสึก ถึงแม้ว่าท่านจะบำรุงรักษายางรถยนต์ของท่านอย่างดีที่สุด เมื่อถึงกาลเวลาดอกยางก็จะสึก
    ยางส่วนใหญ่จะมีแท่งบอกการสึกของดอกยาง แท่งเหล่านี้ซึ่งเป็นยางแข็งจะปรากฏให้เห็นบนยางเมื่อความลึกของดอกยางอันตรธานไปเกินกว่าขีดจำกัดที่จะขับขี่รถได้อย่างปลอดภัย ซึ่งโดยทั่วจะอยู่ที่ 1.6 มม. ท่านควรตรวจสอบดอกยางที่สึกไม่เท่ากันด้วยที่อาจสามารถบ่งชี้ปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับยางและรถยนต์ของท่านได้ รอยแตกที่มองเห็นได้ จงตรวจสอบแก้มของยางและดอกยางที่อาจมีรอยแตก ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่ามีรอยแตกเล็กๆในแก้มของยางที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “รอยเส้นแตกร่างแห (Crazing)”
    นั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องเปลี่ยนยาง แก้มของยางจะไม่หนามากและรอยแตกบนแก้มยางจะเป็นสาเหตุให้ท่านไม่สามารถใช้ยางต่อไปอีกได้ ท่านควรตรวจสอบดอกยาง ไหล่ยาง แก้มยางด้วยว่ามีฟองอากาศ ตุ่มพอง รอยตัด หรือรอยแตกหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกท่านทั้งสิ้นว่าท่านจะต้องเปลี่ยนยางใหม่แม้ว่ายางจะยังคงไม่สึกจากการใช้งานก็ตาม เมื่อซื้อยางใหม่เพื่อเปลี่ยนถือว่าเป็นความคิดที่ดีถ้าหากท่านจะเปลี่ยนทั้งสี่ล้อพร้อมกัน แต่ถ้าหากท่านซื้อเพียงสองเส้น จงมั่นใจว่ายางทั้งสองเส้นนั้นใช้เข้ากันได้กับยางที่สึกแล้วเป็นบางส่วน และนำไปเปลี่ยนเป็นยางล้อหลังซึ่งจะทำให้เกิดแรงฉุดและรถมีเสถียรภาพดีกว่าขณะที่ท่านขับขี่


    คลิกชื้อเลย


    4 ประเภท 3 ลักษณะ ของดอกยางรถยนต์


    4 ประเภท  3 ลักษณะ ของดอกยางรถยนต์
    4 ประเภท  3 ลักษณะ ของดอกยางรถยนต์




    4 ประเภท  3 ลักษณะ ของดอกยางรถยนต์


    4 ประเภท ของดอกยางรถยนต์

    ดอกยางละเอียด (rib pattern)
    ดอกยางละเอียด (rib pattern)

    ดอกยางละเอียด (rib pattern)

    มีดอกยางและร่องยางเป็นแนวแถวเส้นรอบวงของยาง และมีรูแบบเรียงตัวของร่องยาง ตามการออกแบบของบริษัทผู้ผลิต โดยทั่วไปแล้ว เน้นให้ยางใช้งานได้ดีในสภาพถนนเรียบ




    ดอกบั้ง (lug pattern)
    ดอกบั้ง (lug pattern)

    ดอกบั้ง (lug pattern)

    ดอกยางและร่องยางเป็นแนวขวาง กับเส้นรอบวงของยาง ซึ่งการออกแบบยางเช่นนี้ต้องการประสิทธ์ภาพในการตะกุย อีกทั้งร่องยางมีความลึก ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เหมาะสำหรับใช้งานบนถนนที่ขรุขระ และทางเรียบในความเร็วต่ำ และปานกลาง


    ดอกแบบผสม (rib lug pattern)
    ดอกแบบผสม (rib lug pattern)

    ดอกแบบผสม (rib lug pattern)

    เป็นการผสมจุดเด่นของยางทั้งสองแบบ โดยดอกละเอียดจะอยู่ตรงกลาง โดยมีดอกบั้งอยู่รอบนอกทั้งสองด้าน

    ดอกแบบบล็อก (block pattern)
    ดอกแบบบล็อก (block pattern)

    ดอกแบบบล็อก (block pattern)

    ดอกยางประเภทนี้มีลักษณะเป็นจุด หรือก้อน อาจมีรูปทรงแบบวงกลม หรือเหลี่ยมก็ได้ ให้แรงตะกุยสูง เหมาะสำหรับใช้งานแบบออฟโรดทั้งลุยโคลนและทราย


    3 ลักษณะของดอกยางรถยนต์
    3 ลักษณะของดอกยางรถยนต์

    3 ลักษณะของดอกยางรถยนต์

    ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-Directional) ดอกยางประเภทนี้จะสามารถทำการสลับยางได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมีดอกยางสวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องของความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย

    ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังมีสัญลักษณ์ลูกศร (Rotation) แสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของทิศทางของการหมุนของล้อให้เราสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่าประเภทแบบ Non-Directional เพื่อควบคุมการขับขี่ได้อย่างมั่นคงและสามารถใช้ความเร็วสูงได้ดี

    ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (Asymmetric) ลายดอกยางด้านในและด้านนอกจะมีความต่างกัน ซึ่งเกิดจากการออกแบบให้หน้ายางด้านในเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ทางตรง และความเร็วสูง ขณะที่หน้ายางด้านนอกจะทำหน้าที่ยึดเกาะบนทางโค้งได้ดี ยางประเภทนี้จะเหมาะสำหรับเมืองที่มีถนนโค้ง คดเคี้ยวมากๆ หรือ เหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก

    เมื่อเข้าใจลักษณะดอกยางรถยนต์แล้ว คุณก็ควรหมั่นตรวจสอบดอกยางรถยนต์ของคุณให้พร้อมใช้งานทุกสถานการณ์

    เติมลมยางรถยนต์ เท่าไรดี


    เติมลมยางรถยนต์ เท่าไรดี
    เติมลมยางรถยนต์ เท่าไรดี

    เติมลมยางรถยนต์ เท่าไรดี

    การดูแลยางรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะยางรถยนต์หรือล้อรถเป็นส่วนที่รับหน้าที่แบกน้ำหนักทั้งหมดไว้ ต้องคอยดูแลอย่าให้ลมยางรถยนต์อ่อนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย หากละเลยให้ลมยางอ่อนหรือแข็งเกินไปก็จะสงผลเสียกับยางรถยนต์ และทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากกว่าปกติ แล้วยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ทั้งจากการสั่นสะเทือน ดอกยางแตกจากการเสียดสีแล้ว สิ่งที่ต้องเข้มงวดก็คือ การเติมลมยางรถยนต์นั้น ต้องมีความเป๊ะตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ นั้นไปดูกันดีกว่าค่ะว่ารถของเราควรเติมลมยางเท่าไหร่

    ความดันลมยางที่เหมาะกับรถแต่ละประเภท


    1. เติมลมยางรถเก๋ง

    1.1 รถเก๋งที่มีขนาดเล็ก น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1500cc ความดันลมยางอยู่ที่ประมาณ 25 – 30 ปอนด์
    1.2 รถเก๋งที่มีขนาดกลางถึงใหญ่ มากกว่า 1500cc ความดันลมยางอยู่ที่ประมาณ 30 – 35 ปอนด์

    2. เติมลมยางรถกระบะ

    โดยทั่วไป รถกระบะควรเติมลมยางไม่เกิน 65 ปอนด์

    ข้อควรคำนึงทุกครั้งก่อนเติมลมยาง

    1. ต้องเติม ลมยาง ให้ครบทั้งสี่ล้อในปริมาณแรงดัน ลมยาง ที่เท่ากัน เพราะหากเติมปริมาณ ลมยาง ไม่เท่ากันจะทำให้การสึกหรอของยางไม่เท่ากันทั้งหมด
    2. ไม่ควรเติม ลมยาง ในขณะที่ยางมีอุณหภูมิสูง เนื่องจากความร้อนทำให้อากาศขยายตัว
    3. สำหรับผู้ที่ใช้ยางเรเดียลต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบธรรมดา
    4. หากรถยนต์ของคุณมีการบรรทุกของที่มีน้ำหนักมากบ่อยๆ ขับระยะไกลด้วยความเร็ว หรือมีผู้โดยสารมากในการเดินทาง ควรเติม ลมยาง มากกว่าจากค่าที่กำหนดเพิ่มอีกสัก 2 -3 ปอนด์ได้



    เปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเอง

    เปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเอง
    เปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเอง

     

    เปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเอง

    แม้ผู้ใช้รถหลายคนโดยเฉพาะคุณผู้หญิงอาจจะบอกว่าการเปลี่ยนล้ออะไหล่ดูเป็นเรื่องที่ลำบากและไม่คิดจะทำ แต่บทความนี้ผมอยากจะแนะนำวิธีการเปลี่ยนยางรถ ว่าทำได้ไม่อยากอย่างที่คิด  เผื่อฉุกเฉินและมีความจำเป็นที่จะต้องลงมือเองจริงๆ เช่น รถยางรั่วในเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวหรือห่างไกลชุมชน ก็ทำการเปลี่ยนล้อรถได้เองเลย

    ก่อนอื่นเลยหลังจากที่คุณซื้อรถยนต์มาหรือซื้อมาสักพักแล้วก็ตาม ให้ตรวจสอบอุปกรณ์ประจำรถที่จำเป็นต้องใช้ในการเปลี่ยนล้อว่ามีอะไรบ้าง และอุปกรณ์เก็บอยู่ตรงไหนในรถ อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการเปลี่ยนยางอะไหล่ประกอบไปด้วยแม่แรงประจำรถ ประแจถอดยางอะไหล่ (สำหรับบางรุ่น) และบล็อกถอดน็อตล้อ ตรวจสอบดูครับว่าอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ครบไหม และเวลาที่จะต้องหยิบใช้ต้องทำยังไง บางคันอาจจะถูกเก็บอยู่ในช่องเก็บเครื่องมือท้ายรถ บางคันอาจจะเก็บอยู่ใต้เบาะในห้องโดยสาร เป็นต้น

    นอกจากตรวจสอบเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ในการเปลี่ยนล้อแล้วต้องตรวจสอบยางอะไหล่ด้วยว่า ยางอะไหล่ถูกเก็บอยู่ตรงไหนและที่สำคัญคือเก็บอย่างไร เวลาที่จะต้องหยิบออกมาใช้งานสามารถหยิบออกมาได้เลย หรือว่ามีการขันน็อตยึดติดไว้กับที่วางยางอะไหล่ ถ้าจะให้ดีลองขันน็อตยึดออกเพื่อทดลองดูว่าสามารถขันออกได้ง่ายไหม เวลาที่จำเป็นต้องใช้จะได้ไม่ฉุกละหุก และที่สำคัญเลย อย่าลืมตรวจสอบแรงดันลมยางของล้ออะไหล่ ไม่ใช่ว่าพอจะใช้งาน หยิบยางอะไหล่ออกมาปรากฏว่าล้ออะไหล่ลมยางอ่อนเสียนี่

    สำหรับการใช้งานเมื่อรถยางรั่วกรณีที่รถจอดอยู่กับที่ให้คุณตรวจสอบพื้นที่ที่จอดรถอยู่ว่าอยู่ในพื้นที่ราบเรียบเสมอกันหรือไม่ ถ้าไม่ อาจจะต้องขยับรถเล็กน้อยให้อยู่ในพื้นที่ที่เรียบและไม่ลาดเอียง หากยางรั่วขณะที่กำลังขับรถอยู่ ซึ่งสังเกตได้โดยเสียงของยางที่สัมผัสกับพื้นถนนจะดังผิดปกติ จะเป็นเสียง ปั้บ ๆ ๆ ๆ ให้นำรถจอดชิดไหล่ทางในจุดที่ปลอดภัยและจอดในพื้นที่ที่เรียบและไม่ลาดเอียงเช่นกัน แล้วลงไปตรวจสอบว่าล้อไหนที่ยางรั่ว และหากเป็นการเปลี่ยนยางริมถนน ควรนำป้ายหรือหาวัตถุไปด้านท้ายห่างจากตัวรถประมาณ 20-30 เมตร เพื่อเป็นจุดสังเกตุด้วย จากนั้นให้นำแม่แรงและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ออกมาวางพร้อมใช้งาน



    เปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเอง
    เปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเอง ถอดเปลี่ยน


    เมื่อรู้แล้วว่ายางของล้อใดที่รั่วพร้อมทั้งนำรถจอดอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมแล้ว มาเริ่มเปลี่ยนยางอะไหล่กันเลย

    1. สอดแม่แรงเข้าไปใต้ท้องรถ โดยมองหาจุดที่สามารถรับน้ำหนักเพื่อการยกรถได้ โดยเริ่มแรกเพียงแค่วางแม่แรงให้อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น ยังไม่ต้องยกรถให้ล้อลอยขึ้นจากพื้น

    2. นำบล็อกถอดน็อตล้อไปคลายน็อตล้อทุกตัวก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะต้องออกแรงสักหน่อย การขันน็อตออกต้องหมุนบล็อกถอดน็อตล้อทวนเข็มนาฬิกา เวลาที่ใส่ก็ให้หมุนตามเข็มนาฬิกา

    3. เมื่อคลายน็อตล้อได้แล้ว ยังไม่ต้องนำน็อตล้อออก ให้ขึ้นแม่แรง ยกล้อให้ลอยขึ้นเหนือพื้นก่อน โดยยกให้ล้อลอยเหนือพื้นเล็กน้อย จากนั้นค่อยถอดน็อตล้อออกทั้งหมด แล้วนำล้อที่ยางรั่วออก และนำยางอะไหล่ใส่เข้าไปแทน

    4. จากนั้นขันน็อตกลับเข้าไปโดยใช้มือขันให้น็อตเข้าไปสุดเกลียวพอตึงมือก่อน

    5. ลดแม่แรงลงจนล้อลดระดับลงมาติดพื้น นำแม่แรงออก แล้วนำบล็อกถอดน็ตล้อขันน็อตอีกครั้งให้แน่น แรงในการขันน็อตของแต่ละคนไม่เท่ากัน พยายามขันให้แน่นที่สุด


    ที่มา directasia.co.th
     
    Copyright © PEEICE. Designed by OddThemes